ประวัติพระสาคตะเถระ (ตอนที่ ๒)
๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖
ตอนที่แล้วจบลงตรงที่พระสาคตะผู้ทรงฌาน ได้รับการถวายสุราจากชาวนครโกสัมพี ขณะที่ออกบิณฑบาตรตอนเช้า พวกชาวบ้านได้คะยั้นคะยอให้ท่านดื่มสุรานั้น ขณะที่บิณฑบาตรจนท่านเมาม่ายเดินต่อไปไม่ได้ถึงขนาดลงนอนอยู่ข้างทางเดิน
ในเวลาต่อมาพระศาสดาทรงเสด็จออกจากเมืองพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระสาคตะนอนกลิ้งอยู่ที่หน้าประตูเมือง จึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงช่วยกันพยุงสาคตะไปสู่ที่พัก
ภิกษุเหล่านั้นรับสนองพระพุทธดำรัสแล้ว พยุงท่านพระสาคตะไปสู่อารามให้นอนหันศีรษะไปทางพระผู้มีพระภาค แต่ท่านพระสาคตะกลับนอนดิ้นหันหัวเหยียดเท้าไปเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาคตะมีความเคารพ มีความยำเกรงในเราตถาคตอยู่เป็นปกติมิใช่หรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เป็นดังรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย แล้วบัดนี้ สาคตะยังจะมีความเคารพ มีความยำเกรงในเราตถาคตอยู่กระนั้นหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ดูจากพฤติกรรมเช่นนี้ไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาคตะได้ต่อสู้กับนาคอยู่ที่ตำบลท่ามะม่วงมิใช่หรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ใช่ พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เดี๋ยวนี้สาคตะสามารถจะต่อสู้แม้กับงูน้ำได้กระนั้นหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า คงไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย น้ำที่ดื่มเข้าไปแล้วทำให้พฤติกรรม กริยาวิปลาสเช่นนี้ควรดื่มหรือไม่?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ไม่ควรดื่ม พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของสาคตะไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนสาคตะจึงได้ดื่มน้ำที่ทำผู้ดื่มนั้นเมาขาดสติสัมปชัญญะเช่นนี้เล่า? การกระทำของสาคตะนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทข้อห้ามและข้อควรปฏิบัตินี้ขึ้นประกาศแก่หมู่สงฆ์ดังนี้ว่า
“ภิกษุดื่มสุราเมรยปาเน ต้องอาบัติ ปาจิตฺติยํ แปลว่า (ภิกษุ) เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะดื่มสุราและเมรัย”
ครั้นรุ่งขึ้น พระเถระตื่น ฟื้นคืนสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ตามปกติแล้ว ได้ทราบถึงพฤติกรรมอันเหลวไหลที่ตนได้กระทำไป จึงรู้สึกสลดใจ เกิดความละอายต่อการกระทำของตน จึงเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงงดโทษให้แล้ว กราบทูลลาปลีกตัวจากหมู่คณะแสวงหาที่สงบสงัด บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอเสขบุคคลในพระพุทธศาสนา
ภิกษุทั้งหลายประชุมในธรรมสภา พูดถึงโทษของการดื่มสุราว่า ผู้มีอายุทั้งหลายขึ้นชื่อว่า การดื่มสุรามีโทษใหญ่หลวงถึงกับกระทำให้พระสาคตะผู้ได้นามว่า สมบูรณ์ด้วยปัญญา มีฤทธิ์ กลับแสดงพฤติกรรมอันไม่ควร ไม่เคารพต่อองค์พระศาสดา ดังที่ปรากฏเช่นนั้น
พระศาสดาเสด็จมาขณะที่หมู่ภิกษุกำลังสังสนทนากันอยู่จึงทรงตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรเล่า ?
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงทรงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกบรรพชิตดื่มสุราแล้ว พากันสลบไสล ขาดสติสัมปชัญญะ มีพฤติกรรมกาย วาจาวิปลาส มิใช่พึงจะมีแต่ในปัจจุบันเท่านั้น แม้ในอดีตก็ได้มีมาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องที่มีมาในอดีตมาตรัสดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ในแคว้นกาสี เจริญวัยแล้วบวชเป็นฤๅษี ได้อภิญญาและสมาบัติ พำนักอยู่ในหิมวันตประเทศ แวดล้อมด้วยอันเตวาสิกประมาณ ๕๐๐
ครั้นถึงฤดูฝน พวกอันเตวาสิกพากันเรียกท่านว่า ท่านอาจารย์ขอรับ พวกเราพากันไปแดนมนุษย์ บริโภคของเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ แล้วค่อยมากันเถิด ฤๅษีพระโพธิสัตว์กล่าวว่า อาวุโส เราจะคอยอยู่ในที่นี้แหละ พวกเธอพากันไปบำรุงร่างกาย จนฤดูฝนผ่านไป แล้วจึงพากันกลับมาเถิด
อันเตวาสิกเหล่านั้นรับคำว่า ดีแล้วขอรับ พากันกราบลาอาจารย์ไปสู่พระนครพาราณสี พักอยู่ในพระราชอุทยานขององค์ราชาพรหมทัต
ครั้นวันรุ่งขึ้นก็พากันไป เที่ยวภิกษาจารในบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ภายนอกประตูพระนคร ได้รับความเกื้อกูลอย่างดีจากชาวบ้าน รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง จึงพากันเข้าไปสู่พระนคร พวกมนุษย์พากันชื่นชมถวายภิกษา ล่วงมา ๒-๓ วัน มุขอำมาตย์ ราชบุรุษ จึงพากันกราบทูลพระราชาพรหมทัตว่า
ขอเดชะ ฤๅษี ๕๐๐ รูป พากันมาจากป่าหิมพานต์ พักอยู่ในพระราชอุทยาน มีตบะกล้า มีศีล มีเดชมาก
พระราชาทรงสดับคุณของฤๅษีเหล่านั้นเสด็จสู่อุทยาน ทรงนมัสการแล้วกระทำการปฏิสันถาร เผดียง (บอกนิมนต์) ให้อยู่ในพระอุทยานนั้นแหละตลอด ๔ เดือนฤดูฝน นับแต่นั้นฤๅษีเหล่านั้น ก็พากันฉันในพระราชวังแห่งเดียว พำนักอยู่ ณ พระราชอุทยาน
อยู่มาวันหนึ่ง ในพระนครได้มีงานนักขัตฤกษ์ ชื่อว่าสุรานักษัตร พระราชาทรงพระดำริว่า อันว่าสุรานั้น พวกบรรพชิตหาได้ยาก จึงรับสั่งให้ถวายสุราอย่างดีเป็นอันมากถวายแก่พวกดาบส
พวกดาบสดื่มสุราแล้วพากันกลับไปอุทยาน ต่างก็เมาสุรา บางพวกลุกขึ้นฟ้อนรำ บางพวกขับร้อง ครั้นฟ้อนรำขับร้องแล้วก็พากันนอนหลับทับบริขาร ผ้าผ่อนหลุดลุ่ย ส่งเสียงเอะอะโวยวาย ดูเป็นที่น่าอนาถแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก
พอสร่างเมา พากันทยอยตื่น แล้วได้เห็นอาการอันวิปริตของตนๆ นั้นต่างก็ร้องไห้คร่ำครวญว่า พวกเรามิได้กระทำการอันสมควรแก่บรรพชิตเลย กล่าวกันว่า พวกเราจากท่านอาจารย์มา โดยไม่มีผู้ควบคุม อบรม ตักเตือน จึงได้พากันกระทำกรรมอันเลวถึงเพียงนี้
คิดดังนี้แล้วจึงได้พากันทิ้งอุทยาน เดินทางกลับไปสู่ป่าหิมพานต์ เก็บบริขารไว้เรียบร้อยแล้ว จึงพากันไหว้ฤๅษีพระโพธิสัตว์ผู้เป็นอาจารย์ ซึ่งนั่งรออยู่แล้วพร้อมกล่าวว่า
ท่านทั้งหลาย พวกท่านมิได้ลำบากด้วยภิกษา พากันอยู่สบายในถิ่นของมนุษย์หรือไฉน อนึ่งพวกเธอยังจะอยู่กันด้วยความสมัครสมานสามัคคีอยู่หรือ
พุทธะอิสระ
——————————————–