ประวัติท่านพระโสณโกฬิวิสเถระ (ตอนที่ ๒)
๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพุทธดำรัสตรัสสั่งให้พระสาคตะแสดงฤทธิ์อันยิ่งขึ้นไปกว่าที่เคยแสดงมาให้หมู่ชนทั้งแปดหมื่นคนได้ชม
เพื่อจูงจิตจูงใจ ให้มหาชนได้สำรวมกิริยาต่อหน้าพระพักตร์
เมื่อพระสาคตะได้แสดงธรรมอันยิ่งให้มหาชนได้ดูแล้ว เหาะลงมาหมอบกราบแทบเนื้อพระยุคลบาทพระบรมศาสดา
พร้อมทั้งประกาศว่า พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า
ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวกของพระองค์
ครั้งองค์ราชาพิมพิสารและมหาชนทั้งแปดหมื่นคนได้พากันคิดว่า โอ้โฮ ขนาดพระเถระผู้มากไปด้วยฤทธิ์มากขนาดนี้ยังต้องยอมศิโรราบ ก้มกราบซบเศียรแทบพระบาทแด่องค์พระบรมศาสดา
เช่นนั้นองค์พระบรมศาสดาคงต้องมีฤทธิ์มาก มีอำนาจมาก มีเดชมากกว่าพระสาวกของพระองค์เป็นแน่
มหาชนทั้งหลายจึงหันมาใส่ใจ สนใจที่จะสดับพระธรรมเทศนา อนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ จากองค์พระบรมศาสดา
จนมหาชนทั้งหลายบังเกิดดวงตาเห็นธรรม
พระสาคตะเถระจึงได้ทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พวกเขาได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในคำสอนของพระศาสดา
ชนทั้งหลายอันมีพระราชาพิมพิสารเป็นประธาน ได้กราบทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระพุทธเจ้าข้า ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีป ในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้
ข้าพระพุทธเจ้าเหล่านี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำพวกข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป
ในจำนวนมหาชนทั้งแปดหมื่นนั้น มีโสณโกฬิวิสะได้มาร่วมสดับฟังพระธรรมเทศนาด้วย
ครั้งนั้น โสณโกฬิวิสะจึงได้มีความปริวิตก ขึ้นว่า ด้วยวิธีอย่างไรๆ หนอเราจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว อันบุคคลที่ยังครองเรือนอยู่ จะประพฤติ พรหมจรรย์นี้ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดแล้ว ทำไม่ได้ง่าย ไฉนหนอ เราพึงปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ครั้นประชาชนเหล่านั้นชื่นชมยินดี ภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วหลีกไป
หลังจากประชาชนพวกนั้นหลีกไปแล้วไม่นานนัก เขาได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
โสณโกฬิวิสะมานพยังนั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้นแล เมื่อสบโอกาสจึงได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ด้วยวิธีอย่างไรๆ ข้าพระพุทธเจ้าจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว อันบุคคลที่ยังครองเรือนอยู่จะประพฤติพรหมจรรย์นี้ ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดแล้ว ทำไม่ได้ง่าย ข้าพระพุทธเจ้าปรารถนาจะปลงผมและหนวดครองผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิต ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิด พระพุทธเจ้าข้า
ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามเขาว่า มารดาบิดา อนุญาตแล้วหรือ ครั้นเมื่อทรงสดับว่า ยังมิได้อนุญาต จึงทรงตรัสว่า โสณะ ตถาคตไม่ให้กุลบุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาตบวชได้ บุตรเศรษฐีนั้นรับพระดำรัสของพระตถาคตด้วยเศียรเกล้าว่า
ดีละพระเจ้าข้า แล้วเขาก็รีบกลับไปยังเรือนของตนพร้อมกับเข้าไปหามารดาบิดาขอให้ท่านอนุญาตบวชแล้ว จึงกลับมาเฝ้าพระตถาคต ได้บวชในสำนักของภิกษุรูปหนึ่ง บุตรเศรษฐีโสณโกฬิวิสะได้รับบรรพชา อุปสมบทในพุทธสำนักแล้ว
เมื่อท่านได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว อยู่ในกรุงราชคฤห์ หมู่ญาติสาโลหิต และเพื่อนเป็นอันมาก ต่างนำสักการะและสัมภาระมาถวาย แม้คนเหล่าอื่นก็พากันมาเยี่ยมเยือน
พระเถระจึงมาคิดว่า คนเป็นอันมากมายังที่อยู่ของเรา เราจักทำกิจกรรมในกัมมัฏฐานฐาน หรือในวิปัสสนาได้อย่างไร ถ้ากะไร เราพึงเรียนกัมมัฎฐานในสำนักของพระ ศาสดาแล้วไปสุสานสีตวัน บำเพ็ญสมณธรรมแต่ลำพังจะดีกว่า เพราะที่นี้มีคนเป็นอันมาก และพวกเขาคงรังเกียจสุสานสีตะวันนั้นก็จักไม่ไป เมื่อเป็นอย่างนี้ กิจของเราจักถึงที่สุดได้
พระโสณโกฬิวิสะ คิดดังนี้แล้ว จึงเข้าไปกราบทูลขอเรียนกัมมัฎฐานในสำนักของพระศาสดาแล้วหลีกไปยังสีตวันป่าช้า เริ่มบำเพ็ญสมณธรรม ท่านคิดว่า สรีระของเราละเอียดอย่างยิ่ง เคยแต่นั่ง นอน อยู่ในที่สุขสบายมาโดยตลอด เพื่อผลของสมณธรรมอันประเสริฐ แม้เราจะลำบากกายไปบ้าง ก็ควรบำเพ็ญสมณธรรมให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ให้จงได้
พระโสณโกฬิวิสะ คิดดังนี้แล้ว จึงอธิษฐานที่จงกรม เริ่มประกอบความเพียร แม้ฝ่าเท้าทั้ง ๒ ข้างของท่านจะบวมจนพองขึ้นก็ตาม ก็ไม่คำนึงถึงทุกขเวทนา กระทำความเพียรอย่างแรงกล้าต่อเนื่องจนเท้าทั้ง ๒ ข้างแตก สถานที่เดินจงกรมเปื้อนไปด้วยโลหิต ดุจสถานที่ฆ่าโค ฉะนั้น เมื่อท่านเดินไม่ได้ ก็พยายามจงกรมด้วย เข่าบ้าง ด้วยมือบ้าง แม้ถึงกระทำความเพียรอย่างมั่นคงถึงเพียงนี้ แต่ก็ไม่สามารถจะทำคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้นได้ คงเป็นเพราะปรารภความเพียรหนักเกินไป
จึงคิดว่า เราพยายามถึงขนาดนี้ ก็ยังไม่สามารถจะทำมรรคและผลให้บังเกิดขึ้นได้
เราคงไม่ใช่อุคฆฎิตัญญูบุคคล (พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็วเปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำเมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที)
หรือไม่ใช่วิปจิตัญญูบุคคล (พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติมจะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป)
ไม่ใช่ไนยบุคคล (พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิเมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธาปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อย ๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง)
เราคงเป็น ปทปรมะบุคคลแน่แท้ (พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิแม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน)
เราจะบวชอยู่ทำไม สึกไปเสพสุข เสวยสมบัติดีกว่า และเราจักทำบุญให้มากขึ้น แทนการบำเพ็ญสมณธรรมที่เป็นอยู่
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ วันหน้าจะนำมาเล่าสู่กันในตอนต่อไป
พุทธะอิสระ
——————————————–