ประวัติ พระกุมารกัสสปเถระ (ตอนที่ 1)

0
67

ประวัติ พระกุมารกัสสปเถระ (ตอนที่ ๑)
๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

ขณะเมื่อมารดาของท่านพระกุมารกัสสปเถระยังเป็นสาวรุ่นอยู่นั้นมีศรัทธาปรารถนาจะบวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาจึงกล่าวกะบิดามารดาว่า

ข้าแต่ท่านพ่อและท่านแม่ จิตใจของลูกไม่ยินดีในฆราวาสครองเรือนเลย ลูกมีความประสงค์จะบวช ถือพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ ท่านพ่อท่านแม่จงอนุญาตให้ลูกได้บวชเถิด

บิดามารดากล่าวว่า

ลูกเอ๋ยทำไมเจ้าพูดเช่นนั้นเล่า ตระกูลของเรามีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล และเจ้าก็เป็นธิดาคนเดียวของพ่อและแม่ เจ้าจึงสมควรอยู่ครองทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ไม่ควรออกบวช

นางกุลธิดาแม้จะอ้อนวอนอยู่บ่อยๆ ก็ไม่ได้รับการอนุญาตให้บวช

ต่อมานางกุลธิดาจึงคิดว่า ดีหละเช่นนั้น เราจักไปหาสามีให้พ้นจากการปกครองของพ่อแม่แล้วจึงลาสามีออกบวช

ต่อมาเมื่อนางได้สามีแล้ว นางก็ตั้งอยู่ในศีล มีกัลยาณธรรม ครองเหย้าเรือนด้วยความสัตย์ซื่อ ทำหน้าที่ของแม่ศรีเรือนอันมีคุณธรรม ๕ ประการ คือ

– มีกิริยามารยาทที่เรียบร้อยงดงาม

– พูดจาไพเราะอ่อนหวาน รู้จักการวางตัวและใช้อารมณ์อย่างเหมาะสม

– แต่งกายมิดชิดปกปิดร่างกายอย่างเรียบร้อย

– มีฝีมือในการปรุงอาหารรวมทั้งในการดูแลบ้านเรือนให้สะอาดเรียบร้อย

– มีความรักครอบครัวและเอาใจใส่ธุระ ภาระของครอบครัวอย่างไม่บกพร่อง

ด้วยคุณธรรมทั้ง ๕ ประการของนางกุลธิดา นางจึงเป็นที่รักของสามีและญาติสามีเป็นอย่างยิ่ง

เวลาต่อมานางเริ่มตั้งครรภ์อ่อนๆ โดยมิรู้ตัวแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหาโอกาส ขออนุญาตสามีออกบวช

ขณะนั้นในนครพาราณสี มีงานนักขัตฤกษ์ มีการละเล่นเฉลิมฉลองประดับประดา ตกแต่งร้านรวง บ้านเรือน ถนนหนทางด้วยธงทิว โคมไฟสีต่างๆ หลากหลายงดงามตระการตา

ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนทั้งหญิงชาย ลูกเด็กเล็กแดง ต่างก็แต่งกายออกจากบ้านมาประกวด ประชันกันทั่วทั้งเมือง

โดยเฉพาะผู้คนวรรณะ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร ผู้มีฐานะ ต่างก็ตกแต่งนุ่งห่ม คลุมกายด้วยอาภรณ์ที่เลอค่าตามร่างกายก็มีเพชรพลอย ทองหยองตกแต่งกันอลังการ สมฐานะของแต่ละวรรณะ

ผู้มีฐานะชาวนครพาราณสีทั้งหมดไม่มีผู้ใด ที่จะไม่ตกแต่งร่างกาย จะมีก็แต่นางกุลธิดาเพียงผู้เดียวที่นุ่งห่มอาภรณ์ชุดขาว

เป็นที่แปลกใจแก่สามีของนาง และญาติสามีของนาง เห็นว่านางกุลธิดาไม่ยอมแต่งกายให้สวยงาม

สามีจึงถามนางกุลธิดาว่า น้องหญิงเจ้าทำไมถึงไม่แต่งกายให้งดงาม เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลนักขัตฤกษ์ของพระนครนี้เล่า ปีหนึ่งมีแค่ครั้งเดียว ผู้คนทุกชนชั้นต่างก็นุ่งห่มด้วยอาภรณ์ชั้นเลิศหลากสีสัน ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับอันเลอค่า แล้วทำไมเจ้าถึงได้ไม่แต่งร่างกาย ไปร่วมงานกับบรรดาญาติๆ เล่า

นางกุลธิดา จึงกล่าวว่า ข้าแต่สวามี ประโยชน์อันใดที่จักนำอาภรณ์ที่เลอค่ามาปกปิดกองอสุภะ ที่มีความไม่งามอยู่เป็นปกติทั้ง ๓๒ ประการ อีกอย่างเทวดาและท้าวมหาพรหม พร้อมทั้งบุญกุศลก็หาได้มีแก่ผู้ประดับประดา ตกแต่งซากอสุภะทั้ง ๓๒ ประการนี้ให้เลิศหรูได้ไม่

อีกทั้งอสุภะร่างนี้ล้วนดำรงอยู่ได้ด้วยการอิงอาศัยตั้งแต่เกิดจนเติบใหญ่

อีกทั้งยังต้องบำรุง บำเรอ ทะนุถนอม ดูแลรักษา ขัดสีฉวีวรรณ อบชโลมด้วยแป้งร่ำ น้ำอบ น้ำปรุง อันมีกลิ่นหอมให้กายนี้ดังแก้วตาดวงใจ แต่ท้ายที่สุดความปฏิกูล สกปรกก็ปรากฏขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

ไม่ว่าเราจักดูแลรักษาร่างอสุภะนี้มากมายสักปานใด

แต่ท้ายที่สุด อสุภะนี้ก็เกิดโรคภัยอยู่ตลอดเวลา

และไม่ว่าเราจักรักและหวงแหนซากอสุภะนี้สักปานใด ก็ต้องตกอยู่ในความคร่ำคร่า แก่ ชรา มรณะในที่สุด

ประโยชน์อันใดเล่าสวามีที่จักเอาอาภรณ์อันเลอค่า พร้อมทั้งเครื่องประดับ สร้อยสนิม พิมพาภรณ์อันงดงามตระการตา มาปกปิดแผ่นหนังและก้อนเนื้อที่ห่อหุ้มกระดูก ที่ภายในเต็มไปด้วยตับ ไต หัวใจ ปอด ม้าม ลำไส้น้อย ลำไส้ใหญ่ กระเพาะ อาหารใหม่ อาหารเก่า

ในลำไส้ ก็มีทั้งกากอาหาร มูตรคูถ ทั่วทั้งร่างกายทั้งภายในและภายนอก ก็มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำดี น้ำเสลด น้ำลาย น้ำเหงื่อ มันข้น มันเหลว ไขข้อ

ดังนี้แล้วประโยชน์อันใดที่จะประดับประดา ตกแต่งแหล่งที่มาของอาจมเห็นปานนี้เล่าสวามี

นอกจากนี้ กายนี้ยังมีกลิ่นอันไม่สะอาด ทั้งภายในและภายนอก แม้จะพยายามฉาบย้อมด้วยเครื่องหอมสักปานใด แต่ท้ายที่สุดก็ไม่วายจักบังเกิดกลิ่นเหม็นอยู่ดี

ขณะที่มีลมหายใจ มีชีวิต ร่างกายนี้ยังส่งกลิ่นเหม็นเห็นปานนี้

เมื่อถึงคราวตาย สิ่งทั้งหลายที่อยู่ภายในและภายนอก ก็เน่าเปื่อย เป็นที่อยู่ของหมู่หนอน ทั้งหัวดำ หัวขาว หลากหลายพันธุ์ เช่นนี้น้องจักประดับประดา ตกแต่งกายอันเน่าเปื่อยนี้ไปทำไมเล่าสวามี

ข้างฝ่ายสามีของนางกุลธิดา จึงกล่าวขึ้นด้วยจิตขุ่นเคืองนิดๆ พร้อมกับกล่าวประชดว่า

น้องหญิง เมื่อเธอเห็นโทษเห็นภัยของกายนี้ขนาดนี้ ทำไมเธอถึงไม่บวชเสียเลยเล่า

นางกุลธิดาพอได้ฟังดังนั้น จึงกล่าว ดีหละเช่นนั้นน้องจะขอออกบวชเสียแต่วันนี้แหละ

สามีของนางกุลธิดาจึงกล่าวขึ้นว่า ดีหละ เช่นนั้นเราอนุญาตให้เธอบวช

นางกุลธิดา จึงรีบแสดงความเคารพสวามีด้วยกิริยา ประทักษิณวนรอบกายของสวามีแล้วก้มลงใส่มือ ลูบแต่บาทของสวามีมาเช็ดที่เศียรเกล้า

พร้อมกันนั้นนางก็ได้เข้าไปกราบพ่อแม่และหมู่ญาติของสวามี เพื่อลาบวชด้วยเพราะสามีของนางได้อนุญาตแล้ว

ต่อมาได้บริจาคทรัพย์สินที่นางนำติดตัวมาจากบ้านให้แก่ข้าทาสในเรือน และคนเข็ญใจ ระหว่างทางที่เดินมายังอารามของภิกษุณีในพระพุทธศาสนาเพื่อขอบวช

จบไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid0zCoGWBYbxqnp75Jf89g3FT32MjYacSdjjCJgRtnEFguLqj1N2Z1HZrcNX162dgpLl