สรภังคชาดก (ตอนที่ 4)

0
54

สรภังคชาดก (ตอนที่ ๔)
๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๕

ความเดิมตอนที่แล้ว

โชติปาลกุมารโพธิสัตว์ได้แสดงศิลปะการยิงธนูที่ว่องไวเหนือเสียงและแสง จนสามารถเอาชนะนายขมังธนูชั้นยอด ๔ นาย ที่คัดสรรมาจากนายขมังธนู ๖๐,๐๐๐ คน จนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตามหาชนและองค์ราชาพรหมทัต

ทำให้มหาชนเหล่านั้นได้โยนภูษามาลง แก้วแหวนเงินทอง มากองบูชาความสามารถของโชติปาลกุมารโพธิสัตว์สูงท่วมหัวมูลค่าสูงถึง ๑๘ โกฏิ

ขณะที่ทุกคนในสนามพลับพลาที่ประทับกำลังตื่นเต้นวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่อื้ออึง โชติปาลจึงได้กระโดดออกจากสนามยิงธนู ตีลังกากลางอากาศลงมายืนถวายบังคมต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ราชา

ขณะนั้นองค์ราชาพรหมทัตจึงได้ตรัสถามโชติปาลกุมารว่า ดูกรโชติปาลสรรพวิทยาวิชาธนูที่เจ้าแสดงมานี้ มีชื่อว่าอะไรหรือพ่อ

โชติปาลกุมารจึงทูลถวายว่า วิชาธนูนี้อาจารย์หม่อมฉันเรียกว่า สรปฏิพาหนะ แปลว่า วิธีสกัดลูกศร พระพุทธเจ้าข้า

พระราชาจึงตรัสถามต่อไปว่า ในโลกนี้ยังมีคนอื่นที่เรียนวิชานี้สำเร็จอยู่อีกหรือไม่

โชติปาลกุมารกราบทูลตอบว่า ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ในชมพูทวีปนี้ อาจารย์ของหม่อมฉันแจ้งว่า ในรอบร้อยปีก็ยังมิมีผู้ใดเรียนสำเร็จได้เลยแม้แต่คนเดียวพระเจ้าข้า

พระราชาพรหมทัตจึงตรัสถามว่า แล้วอาจารย์ของเจ้าเล่า เขาเรียนวิชานี้สำเร็จหรือไม่

โชติปาลโพธิสัตว์ทูลว่า แม้อาจารย์ของหม่อมฉันก็มิอาจเรียนได้สำเร็จเลยพระเจ้าข้า

องค์มหาราชาจึงตรัสถามว่า นอกจากวิชาสกัดกั้นลูกศรแล้ว เจ้ายังเรียนวิชาใดมาอีกบ้างเล่า

ข้าแต่องค์สมมุติเทพ นอกจากวิชาสกัดกั้นลูกศรแล้ว ข้าพระองค์ยังเรียนวิชายิงศรย้อนกลับเพื่อทำลายข้าศึกทั้ง ๔ ทิศ ได้ด้วยการยิงลูกศรแค่ดอกเดียวอีกพระเจ้าข้า

องค์มหาราชพรหมทัตจึงทรงมีรับสั่งให้นายขมังธนูทั้ง ๔ ไปยืนอยู่ในทิศทั้ง ๔ เพื่อให้โชติปาลกุมารยิงด้วยศรดอกเดียว

ฝ่ายนายขมังธนูทั้ง ๔ เมื่อได้เห็นฝีมือการยิงธนูของโชติปาลกุมาร อันมีฝีมือเหนือพวกตนเป็น ๑๐ เท่าเช่นนั้น จึงเกิดความขลาดกลัวไม่กล้าที่จะไปยืนให้โชติปาลยิง แม้โชติปาลจะบอกว่า จะยิงศรแค่ครั้งเดียว ดอกเดียวก็ตาม

โชติปาลโพธิสัตว์เมื่อได้เห็นอากัปกิริยาแสดงความหวาดกลัวของนายขมังธนูทั้ง ๔ เช่นนั้น จึงได้ทูลแด่องค์มหาราชว่า ไม่ต้องให้นายขมังธนูทั้ง ๔ ไปยืนเป็นเป้าก็ได้พระเจ้าข้า ให้เจ้าพนักงานนำต้นกล้วยมาปักไว้แทนตัวนายขมังธนูก็ได้พระเจ้าข้า

ก่อนที่จะยิงลูกศร ข้าพระองค์จะผูกปลายลูกศรด้วยด้ายแดงเพื่อให้ลูกศรที่ยิงไปนำเชือกไปร้อยต้นกล้วยทั้ง ๔ ต้น ที่แยกตั้งไว้ใน ๔ ทิศ ให้ร้อยรวมกันโดยมิให้ต้นกล้วยล้มลงดินเลยแม้แต่ต้นเดียวพระเจ้าข้า

องค์ราชาครั้งได้ฟังดังนั้น จึงย้อมถามโชติปาลกุมารไปว่า เจ้าแน่ใจหรือว่า สิ่งที่เจ้าพูดมาจะทำได้ การที่เจ้าสามารถสกัดกั้นลูกศรที่ถูกยิงโจมตีจากนายขมังธนูชั้นยอดฝีมือทั้ง ๔ ได้สี่หมื่นลูก เท่านี้เราและมหาชนนครพาราณสีก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งแล้ว

ส่วนที่เจ้าคุยว่า จะยิงต้นกล้วย ๔ ต้นในทิศทั้ง ๔ ด้วยลูกศรแค่ดอกเดียว โดยผูกเชือกแดงร้อยให้ต้นกล้วยเข้าด้วยกันโดยมิให้ต้นกล้วยล้มนั้น

เราคิดว่า มันจะเกินกำลังของเจ้าไปกระมังลูกเอย หากเจ้าทำไม่ได้มันจะกลายเป็นเรื่องน่าขบขันของผู้คนไปอีกนาน หยุดแค่นี้ก็ได้ เราไม่อยากให้พ่อเจ้าต้องมาขายหน้า

โชติปาลกุมารครั้งได้ฟังพระดำรัสขององค์มหาราชพรหมทัต จึงได้ทูลถวายว่า ข้าแต่องค์มหาราช ข้าพระองค์ยืนยันว่า จะไม่ทำให้ใครๆ ในพระนครพาราณสี ต้องมาผิดหวังหรืออับอายขายหน้าเป็นอันขาด ข้าพระองค์จักพยายามใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมา ให้เป็นที่ประจักษ์แก่พระนครพาราณสีจนสุดความสามารถ

โชติปาลกุมารจึงส่งสัญญาณให้เจ้าพนักงานปักต้นกล้วยให้เรียบร้อยแล้ว ให้ออกไปจากมณฑลที่ปักต้นกล้วยเสีย แล้วตนก็ออกมายืนห่างจากมณฑลที่ต้นกล้วยปัก ๕๐๐ ชั่วลูกธนู พร้อมทั้งนำลูกศรผูกด้ายแดงปล่อยชายยาวแล้วนำลูกศรนั้นมาพาดสายยิงออกไปในทิศอุดร ที่มีต้นกล้วยนั้นปักอยู่ต้นแรก

ลูกศรนั้นถูกยิงออกไปจากคันธนูไวดุจดังฟ้าแลบ มหาชนทั้งหลายไม่สามารถมองเห็นได้ เห็นแต่เส้นด้ายแดง วิ่งเป็นสายวนไปรอบต้นกล้วยถึงสามรอบ โดยที่ต้นกล้วยไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย

ซ้ำลูกศรและเส้นด้ายยังรอบเข้าในรูเดียวกันถึง ๓ รอบ

ส่วนลูกศรนั้น องค์ราชาและมหาชนเห็นอีกทีก็มาอยู่ในมือของโชติปาลกุมารเสียแล้ว

เหตุอันมหัศจรรย์นี้ทำให้มหาชนทั้งหลายพากันส่งเสียงฮือฮา สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วสนามประลอง พร้อมทั้งปรบมือกันสนั่นหวั่นไหวยาวนานจนองค์ราชาต้องทรงลุกขึ้นยืน แล้วยืดพระหัตถ์ทั้ง ๒ ข้างส่งสัญญาณให้หยุดการปรบมือ

แล้วตรัสถามโชติปาลกุมารว่า

นี้มันวิชาอะไรกันหละพ่อ ทำไมถึงได้วิเศษพิสดารถึงเพียงนี้

โชติปาลกุมารจึงทูลตอบว่า วิชานี้มีชื่อว่า จักกวิทธวิชาธนูแทงรูจักรพระเจ้าข้า

องค์มหาราชพรหมทัต เพื่อจักให้มหาชนได้เห็นความรู้ความสามารถของโชติปาลกุมารจึงทรงตรัสถาม โชติปาลกุมารว่า วิชายิงศรของเจ้ามีเพียงเท่านี้หรือ

โชติปาลจึงทูลว่า วิชาศรของข้าพระองค์ยังมีอยู่อีก ๑๒ แขนงพระเจ้าข้า

มหาราชพรหมทัต จึงทรงตรัสว่า โฮ่โฮ่ นี่แค่ ๒ วิชายังวิเศษพิสดารพันลึกได้ขนาดนี้แล้วหากเจ้าแสดงอีก ๑๒ วิชาของศิลปะการยิงธนูแต่ละวิชาจนครบ จังบังเกิดความพิสดารพันลึกขนาดไหน

โชติปาลจึงทูลว่า หากข้าพระองค์แสดงศิลปะ วิชาธนูครบทั้ง ๑๒ แขนง จักเป็นเหตุให้ฟ้าดินแปรปรวน เกิดความวุ่นวายโกลาหลไปทั่ว ทั้งมนุษย์และสัตว์ไม่เว้นแม้แต่ธาตุทั้ง ๔ ก็จะเกิดการแปรปรวนไปทั่วชมพูทวีป แม้แต่มหาชนที่ประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ก็มิอาจมีชีวิตอยู่ได้ แค่วิชาธนูสายฟ้า หากข้าพระองค์แสดงออกไป ก็จักบังเกิดอสุนีบาตฟาดใส่กระหม่อมของทุกคน โดยพร้อมเพียงกัน ชนทั้งหลายที่ชุมนุมอยู่ในมณฑลพิธีนี้ก็จักถึงการวิบัติจนไม่เหลือซากพระเจ้าข้า

องค์ราชาพรหมทัต จึงทรงโบกพระหัตถ์พร้อมตรัสว่า

พอ..พอ..พอแล้วพ่อคุณ แค่นี้เราก็รู้แจ้งชัดถึงความรู้ความสามารถของเจ้าแล้ว ไม่ต้อพิสูจน์ใดๆ อีกต่อไปแล้ว

เราจักแต่งตั้งเจ้าให้เป็นมหาเสนาบดีแล้วจักมอบเงินรางวัลให้เจ้าหนึ่งแสนกหาปนะ เจ้าจงกลับไปอาบน้ำ ตัดผม โกนหนวด แต่งกายให้เรียบร้อย แล้วพรุ่งนี้เช้าเจ้ามาเข้าเฝ้าเราพร้อมบิดาเจ้า

วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะจ๊ะ เที่ยวหน้าจะเขียนมาเล่าสู่กันฟังใหม่

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid02Bco6phwEjSs653DXKDvU8eRNWm52QaQMWnoY1Lr7ERJJNPCX6ShF1vxb2ecB2n6xl