บทความ
ธรรมะย่อมชนะอธรรมกันอีกที
๘ ธันวาคม ๒๕๕๘
เริ่มตั้งแต่เจ้าประคุณสมเด็จทรงปรารภเรื่องของธรรมกาย ธัมมชโย ละเมิดพระวินัยอย่างร้ายแรง แต่สมเด็จเกี่ยววัดสระเกศและเจ้าคณะภาค ๑ วัดยานนาวาออกมาปกป้อง โดยมีนักการเมืองทรราชเป็นผู้คุ้มกะลาหัว
ฉันก็เริ่มวางแผนหาแนวร่วมเพื่อจะเอาตัวอลัชชีชั่วมาลงโทษตามกฎหมาย บทบัญญัติของพระธรรมวินัยให้ได้
แต่ก็ยากลำบากดังเข็นเขาลงครก เพราะธรรมกายดูจะหาทางป้องกันภัยให้แก่ตนเอง
ด้วยการจัดซื้อจัดจ้างผู้มีอำนาจ ผู้มีอิทธิพล ทั้งทางโลกและทางธรรม ทั้งยังสยายปีกครอบงำในทุกสังคม สร้างอิทธิพล ทั้งทางความเชื่อ ความคิด สร้างฐานอำนาจทางสายการปกครองทั้งทางโลกและทางธรรม
จนดูจะยิ่งใหญ่ดุจดังขุนเขาที่ใครๆ ก็มิอาจเอาผิดแก่เจ้าลัทธิอลัชชีผู้นี้ได้
แต่ด้วยสัจจะวาจาที่ได้ให้ไว้แด่เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชว่า หากกระหม่อมยังมีชีวิตอยู่ กระหม่อมจะนำเอาอลัชชีชั่วตนนี้มาลงโทษตามกบิลเมืองให้จงได้
ด้วยแรงจูงใจนี้กอปรกับมีเหตุผลที่ฟ้าประทานโอกาสให้ต้องออกไปเป็นแกนนำเวทีแจ้งวัฒนะ
ลูกหลานพญาราชสีห์คงจะจำได้ว่าฉันได้แจกล็อกเก็ตพระสังฆราชในหลวงมาตั้งแต่เริ่มตั้งเวทีแจ้งวัฒนะจนเลิกเวที
และบ่อยครั้งมากขณะที่ต่อสู้อยู่บนเวทีมักมีคนถามฉันว่าเรื่องธรรมกายจะจัดการอย่างไร
ฉันจะตอบว่า รอให้ขับไล่รัฐบาลโกงชาติให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากันเรื่องอลัชชีปล้นพระธรรมวินัย เพราะระหว่างชาติกับศาสนา ชาติต้องมาก่อน
และเมื่อคนไทยได้ชาติไทยกลับคืนมาเช่นปัจจุบัน ก็ต้องเป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องจัดการกับอลัชชีที่ปล้นพระธรรมวินัยต่อไป
๒ ปีเต็มๆ ที่พวกเราเพียรพยายามลงทุนลงแรง ทั้งกายใจและทรัพย์สินไปกับการที่จะทำทุกวิถีทาง ใช้สารพัดวิธีที่มีช่องทาง
เริ่มตั้งแต่ไปถวายสังฆทานชุดใหญ่วัดปากน้ำ
ตามด้วยการรวบรวมหลักฐานให้กับผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา เพื่อให้พิสูจน์พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชว่าเป็นของจริงหรือปลอม
นำเรื่องไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับกองปราบ
นำหลักฐานการทุจริตในคณะสงฆ์ไปยื่นให้กับ ป.ป.ช.และ สตง.ตรวจสอบการใช้งบประมาณและทำหน้าที่โดยมิชอบ
เรียกร้องให้อัยการรื้อฟื้นคดีธัมมชโยกลับมาพิจารณาใหม่
นำหลักฐานไปแจ้งความร้องทุกข์กับดีเอสไอใน ๑๑ กรณี
นำเรื่องเข้าร้องเรียนต่อปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
นำเรื่องไปร้องเรียนสภาปฏิรูปแห่งชาติและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ส่งสัญญาณเตือนกรรมการมหาเถรสมาคมและสำนักพุทธให้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย รักษาหลักการพระธรรมวินัยให้มากกว่ารักษาบุคคล
ฉันส่งสัญญาณไปเป็นระยะๆ เพื่อกระตุ้นเตือนให้สติกับกรรมการมหาเถรสมาคมได้รู้สึกตัว กลับมาทำหน้าที่ให้ถูกต้อง แต่สิ่งที่ได้รับคือเงียบ
มาวันนี้ ดีเอสไอรับคดีนี้ไว้เป็นคดีพิเศษและพร้อมที่จะส่งให้อัยการสั่งฟ้องต่อไป
ซึ่งก็ต้องไปสู้กันในชั้นศาลทั้ง ๑๑ คดี ทุกอย่างว่ากันไปตามหลักฐานทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคล
ใครดีใครอยู่ หากชั่วก็เตรียมตัวตาย
ภารกิจของฉันที่ยังต้องทำอีกคือ
ต้องติดตามคดีในชั้นอัยการและชั้นพนักงานสอบสวนในคดีอื่นๆ ที่แจ้งความร้องทุกข์กับพวกพ้องของธรรมกาย มีทั้งกรรมการมหาเถรบางรูปและสำนักพุทธ เรียกว่างานนี้ต้องกวาดยกเข่ง
ต่อมาต้องตามดูซึ่งผู้ที่นายกจะนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงลงพระนามว่าเป็นผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เป็นที่ยอมรับของพุทธบริษัททั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์หรือไม่
ตามด้วยการผลักดันให้ปฏิรูปกฎหมายคณะสงฆ์ ปฏิรูปวงการคณะสงฆ์และกิจการพระพุทธศาสนา
ไม่ว่าจะเสี่ยงขนาดไหน
ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบากลำบนปานใด
ไม่ว่าจะมีอุปสรรคขวางกั้นหรือไม่
พุทธะอิสระ พญาราชสีห์แห่งเวทีแจ้งวัฒนะ จะไม่ยอมทิ้งปณิธานและสัจจะวาจาที่ได้ถวายไว้แด่องค์พระสังฆราชผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐจนสำเร็จลุล่วง
พุทธะอิสระ
(ขอบคุณภาพบางส่วนจาก คมชัดลึก, แนวหน้า, ผู้จัดการ, Nation)
[dt_gap height=”10″ /]