บทความ
ความจริงคือสิ่งไม่ตาย คนที่ควรตายคือพวกไม่ยอมรับความจริง ตอนที่ ๒
๒๙ มกราคม ๒๕๕๙
อ่านเรื่องจริง คือ สิ่งไม่ตาย แต่ผู้ปฏิเสธความจริง สมควรตาย กันอีกสักตอน
เผื่อพวกลิ่วล้อ บริวารธรรมกาย ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ทั้งหลาย จักได้หูตาสว่างขึ้นมาบ้าง
บอกแล้วไง เรื่องนี้เป็นซีรีย์ยาว จักนำมาฉายให้อ่านกันเป็นตอนๆ โดยไม่มีโฆษณามาคั่นให้เสียอารมณ์
แต่พวกที่เชียร์ลูกพี่เจ้าลัทธิธรรมกายคงจะต้องเสียอารมณ์กันบ้าง ก็ต้องขออภัย เพราะใครๆ ก็มิอาจหนีความจริงไปได้
(ต่อจากตอนที่ ๑)
ก่อนที่จะมีการนำเสนอพระลิขิต (คำสั่ง) ของสมเด็จสังฆราชฯ วัดพระธรรมกายได้เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นมากมายหลายเรื่อง โดยมีเอกชนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายจึงมีเรื่องที่จะต้องตรวจสอบ อาทิเช่น
คำสอนเรื่องพระนิพพานไม่ตรงตามพระไตรปิฎก
การประชาสัมพันธ์เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของวัดพระธรรมกาย
การครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินวัดฯ โดยมิชอบ
มหาเถรสมาคมได้มีมติ ครั้งที่ ๓๒/๒๕๔๑ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ มอบให้พระธรรมโมลี เจ้าคณะภาค ๑ (ในขณะนั้น) ซึ่งดูแลครอบคลุมเขตการปกครองคณะสงฆ์ จังหวัดปทุมธานีไปพิจารณาตามที่เห็นสมควรแล้วนำเสนอมหาเถรสมาคม
วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๒ เจ้าคณะภาค ๑ นำข้อมูลสรุปการพิจารณากรณีวัดพระธรรมกายเสนอต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคม ซึ่งที่ประชุมขอเวลาศึกษารายละเอียดก่อนลงมติ
วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๒ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่พระพรหมโมลีเสนอมานั้นชอบแล้ว โดยเสนอแนะให้วัดพระธรรมกายดำเนินการตามคำแนะนำ ๔ ประการ คือ
๑.ให้วัดพระธรรมกายมีการเรียนการสอนพระอภิธรรม
๒.ให้วัดพระธรรมกายมีการปฏิบัติบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้ผู้ปฏิบัติบรรลุถึงพระวิปัสสนาญาณตามลำดับชั้น ซึ่งปรากฏมีตามพระคัมภีร์พระพุทธศาสนา
๓.ให้วัดพระธรรมกายสำรวมระวังในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด
๔.ให้วัดพระธรรมกายปฏิบัติตามกฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่งมติ ประกาศพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยเคร่งครัดเป็นพิเศษ ทั้งนี้เพื่อความสงบเรียบร้อยดีงามของวัดและพระพุทธศาสนา
วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๒ กรมการศาสนาได้นำพระราชดำริสมเด็จพระสังฆราชที่ทรงมีพระดำริเพิ่มเติม (กรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องอาบัติปาราชิก) เข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคมพิจารณาและที่ประชุมมีมติมอบเอกสารให้เจ้าคณะภาค ๑ พิจารณา
วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๒ กระทรวงศึกษาธิการ โดยกรมการศาสนาในขณะนั้นได้รายงานเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในปัญหาวัดพระธรรมกาย ดังนี้
(๒) ให้กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ (ขณะนั้น) ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อสนองพระบัญชาพระสังฆราชและรับสนองงานตามมติมหาเถรสมาคม
กรมการศาสนา ได้นำพระลิขิตเสนอที่ประชุมมหาเถรสมาคม ในการประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๔๒ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๒ และในการประชุมครั้งที่ ๑๖/๒๕๔๒ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๒
ที่ประชุมมหาเถรสมาคมมีมติสนองพระดำริให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม ได้รับทราบตามรายงานของอธิบดีกรมการศาสนาว่าเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายยืนยันว่าจะคืนที่ดินให้กับวัดพระธรรมกาย และรายงานเพิ่มเติมว่า นายมาณพ พลไพรินทร์ และนายสมพร เทพสิทธา ต่างมีหนังสือลงวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๓ ตามลำดับ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายว่าล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ด้วยการบิดเบือนหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา อวดอุตริมนุสธรรม ลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง และหลอกลวงประชาชน
การพิจารณาดำเนินการด้านพระธรรมวินัย ในชั้นนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ในฐานะที่เป็นผู้พิจารณาตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ.๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม
ต่อมาภายหลังศาลอาญาได้มีคำสั่งในวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๙ อนุญาตให้โจทก์คืออัยการถอนฟ้องเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายและจำหน่ายคดีออกจากสารบบ โดยอ้างเหตุผลว่าได้มีการมอบที่ดินทั้งหมดให้แก่วัดพระธรรมกายแล้ว
เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีในฐานะผู้พิจารณาได้ตรวจลักษณะของผู้กล่าวหาที่เหลือ คือ นายมาณพฯ ได้ขอถอนฟ้อง
สำหรับนายสมพร เห็นว่า คำกล่าวหามีความบกพร่องจึงมีคำสั่งไม่รับคำกล่าวหาของผู้กล่าวหา
ทั้งนี้ โดยความเห็นชอบของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙
จากนั้น เจ้าคณะตำบลคลองสี่ ได้มีคำสั่งให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์ กลับไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายดังเดิม (รายละเอียดปรากฏตามมติมหาเถรสมาคม ที่ ๑๒๑/๒๕๕๘ ในการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘)
อารมณ์ เหมือนกับดูละคร ดูหนัง เลยใช่ไหม มีทั้งลุ้น มีทั้งเชียร์ มีทั้งแช่ง
ใจร่มๆ ค่อยๆ อ่าน ติดตามตอนต่อไป แล้วจะเสียว ลุ้น ฮา มากกว่านี้
แต่ที่แน่ๆ ทั้งหมดนี้ คือ ความจริง ที่อยู่ในโลกแห่งสมมุติ ที่ต้องทำความรู้จักเข้าใจให้ถ่องแท้ เพื่อจะได้ไม่ต้องตกเป็นเครื่องมือของใครๆ ค่อยๆ เรียน ค่อยๆ ศึกษากันไป จนกว่าซีรีย์เรื่องนี้จะจบ
พุทธะอิสระ