พระสิงคาลมาตาเถรี (ตอนที่ 3)

0
37

พระสิงคาลมาตาเถรี (ตอนที่ ๓)
๒๗ มีนาคม ๒๕๖๗

ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระบรมศาสดาทรงประทานโอวาสแก่สิงคาลกคฤหบดีบุตร ถึงทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ และเป็นผู้ปราศจากกรรมอันลามก ๑๔ แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

เพื่อนในวงสุรา เพื่อนดีแต่พูด มีลักษณะที่เป็นโทษ ๖ ประการ คือ

การนอนตื่นสาย ๑

การเป็นชู้ต่อภรรยาผู้อื่น ๑

ความประสงค์ผูกเวร ๑

ความเป็นผู้ทำแต่สิ่งที่หาประโยชน์มิได้ ๑

มีแต่มิตรชั่ว ๑

ความเป็นผู้ตระหนี่ถี่เหนียว ๑

เหล่านี้ ย่อมเป็นเหตุให้ห่างไกลเสียจากประโยชน์สุขอันจะพึงได้พึงถึงคนมีมิตรชั่ว มีเพื่อนชั่ว มีมรรยาททราม และการกระทำที่อาจถูกนำพาไปให้ทำแต่ในสิ่งที่ชั่ว ย่อมเสื่อมจากโลกทั้งสอง คือ จากโลกนี้และจากโลกหน้า

เหตุ ๖ ประการ คือ การพนันและการเป็นนักเลงผู้หญิง ๑ สุรา ๑ ฟ้อนรำขับร้อง ๑ นอนหลับในเวลาที่หมู่สัตว์ออกแสวงหาอาหาร และทรัพย์เพื่อเลี้ยงตนและครอบครัว บำเรอตนในสมัยมิใช่การ ๑ มักมีมิตรเป็นคนพาล ๑ เกิดความตระหนี่ถี่เหนียวในเรื่องที่ไม่ควรตระหนี่ แต่กลับใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายกับเรื่องที่สมควรจะตระหนี่ ๑ เหล่านี้ ย่อมเป็นเหตุให้ห่างไกลเสียจากประโยชน์สุข อันจะพึงได้พึงถึงทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

ชนเหล่าใดเล่นการพนัน ดื่มสุรา เป็นชู้ต่อหญิงภรรยาอันเป็นที่รักของผู้อื่น คบแต่คนพาล และไม่คบหาบัณฑิต ย่อมเสื่อมจากประโยชน์ทั้งปวงดุจดังดวงจันทร์ในค่ำคืนข้างแรม

ผู้ใดดื่มสุรา จักทำให้เสื่อมจากทรัพย์ หาการงานทำเลี้ยงชีวิตมิได้ เป็นผู้เสื่อมจากสติปัญญา เสื่อมจากสิ่งที่เป็นประโยชน์ เขาจักจมลงสู่หนี้เหมือนก้อนหินจมน้ำ ฉะนั้น จักทำความอากูลอับเฉาแก่ตนตลอดเวลา มักมีการนอนหลับในกลางวัน เกลียดชังการลุกขึ้นในกลางคืน เป็นนักเลงสุราและสิ่งเสพติดอยู่เป็นนิจ ไม่อาจดูแล บำรุงรักษาเหย้าเรือนให้ดีได้ ประโยชน์ทั้งหลายย่อมเสื่อมไป

ชายและหญิงที่ละทิ้งการงาน ด้วยข้ออ้างว่า หนาวนัก ร้อนนัก เวลานี้เย็น เสียแล้ว ผู้ร่วมงานและตนยังไม่พร้อม ดังนี้เป็นต้น

ส่วนผู้ใดไม่ใส่ใจว่าจะหนาวหรือจะร้อน ทำตนประดุจดัง ต้นหญ้า ทำกิจของบุรุษผู้มีความเพียรตั้งมั่น ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากความสำเร็จทั้งปวง ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร คน ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ คนนำสิ่งของๆ เพื่อนไปถ่ายเดียว [คนปอกลอก] ๑ คนดีแต่พูด ๑ คนหัวประจบ ๑ คนชักชวนในทางฉิบหาย ๑ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร คนปอกลอก ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยมีลักษณะ ๔ จำพวก คือ เป็นคนคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ๑ เสียให้น้อยคิดเอาให้ได้มาก ๑ ไม่รับทำกิจของเพื่อนในคราวมีภัย ๑ คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร คนปอกลอก ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรเป็นแต่คนเทียมมิตร โดยมีลักษณะอันเป็นโทษ ๔ ประการดังที่กล่าวมานี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูด ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยมีลักษณะ ๔ จำพวก คือ เก็บเอาของล่วงแล้วมาปราศรัย ๑ อ้างเอาของที่ยังไม่มาถึงมาปราศรัย ๑ สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ ๑ เมื่อกิจเกิดขึ้นแสดงความขัดข้อง [ออกปากพึ่งมิได้] ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูด ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยมีลักษณธอันเป็นโทษ ๔ ประการดังกล่าวมานี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยมีลักษณะ ๔ ประการ คือ ตามใจเพื่อนให้ทำความชั่ว [จะทำชั่วก็คล้อยตาม] ๑ ตามใจเพื่อนให้ทำความดี [จะทำดีก็คล้อยตาม] ๑ ต่อหน้าสรรเสริญ ๑ ลับหลังนินทา ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยมีลักษณะอันเป็นโทษ ๔ จำพวกดังกล่าวมานี้แล ฯ

ดูกรคฤหบดีบุตร คนชักชวนในทางฉิบหาย ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยมีลักษณะ ๔ จำพวก คือ ชักชวนให้ดื่มน้ำเมา คือ สุรา เมรัย และสิ่งเสพติดทั้งปวง อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ชักชวนให้เที่ยวตามตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน ๑ ชักชวนให้เที่ยวดูการมหรสพ ๑ ชักชวนให้เล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ดูกรคฤหบดีบุตร คนชักชวนในทางฉิบหาย ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรเป็นแต่คนเทียมมิตรโดยมีลักษณะอันเป็นโทษ ๔ ประการ ดังกล่าวมานี้แล ฯ

หลักการดูคนที่ควรเป็นมิตรแท้และมิตรเทียม ที่องค์พระบรมครูผู้ประเสริฐทรงสอนแก่สิงคาลกมานพนี้สามารถนำมาใช้ได้ แม้ในยุคปัจจุบัน

ส่วนจักใช้ได้มาก ใช้ได้น้อย นั่นก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของแต่ละท่านแล้วว่า จะสามารถพิจารณาแยกแยะมิตรแท้มิตรเทียมได้แค่ไหน

เจริญธรรม

โปรดติดตามตอนต่อไป

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid02mLu7TUcdoe95pNkGJay96PgtTY2mQqxkq4euuoCCQzfGzpFuhspuN9ZCV7rHHL7Bl