ประวัติพระปฏาจาราเถรี (ตอนที่ ๓)
๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระบรมศาสดากล่าวเทศนาอนมตัคคปริยายสูตรจบลง นางปฏาจาราได้ละความเศร้าโศก เผากิเลสแล้ว ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ส่วนชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล เป็นต้น
ฝ่ายนางปฏาจารานั้นเป็นโสดาบันแล้ว ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา. พระศาสดาทรงส่งนางไปยังสำนักของพวกภิกษุณีให้บรรพชาแล้ว. นางได้อุปสมบทแล้วปรากฏชื่อว่า “ปฏาจารา” เพราะนางกลับความประพฤติได้.
วันหนึ่ง นางกำลังเอาหม้อตักน้ำล้างเท้า เทน้ำลง.น้ำนั้นไหลไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ขาด.
ครั้งที่ ๒ น้ำที่นางเทลง ได้ไหลไปไกลกว่านั้น.
ครั้งที่ ๓ น้ำที่เทลง ได้ไหลไปไกลกว่าเดิมนั้นอีก ด้วยเหตุนี้ นางถือเอาน้ำนั้นมาเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งอารมณ์เทียบกับวัยทั้ง ๓ แล้ว ใคร่ครวญว่า
“สัตว์เหล่านี้ ตายเสียในปฐมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งแรก
ตายเสียในมัชฌิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งที่ ๒ ไหลไปไกลกว่านั้น
ตายเสียในปัจฉิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งที่ ๓ ไหลไปไกลแม้กว่า ๒ ครั้งแรก ”
ขณะนั้นพระศาสดาประทับในพระคันธกุฎี ทรงทราบวาระจิตของนางภิกษุณีปฏาจารา จึงทรงแผ่พระรัศมีไปปรากฎเฉพาะหน้าของนาง พร้อมทรงตรัสว่า
“ปฏาจารา สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนเป็นอย่างนั้น มีอายุอยู่วันเดียวก็ดี ขณะเดียวก็ดี ผู้เห็นตามความเป็นจริง เห็นความเสื่อมแห่งปัญจขันธ์ของสัตว์เหล่านั้น แม้เพียงวันเดียว ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นความตามความเป็นจริงในความเสื่อมแห่งปัญจขันธ์”
ทรงตรัสดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-
“บุคคลใด ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งสังขาร แม้มีชีวิตอยู่เป็น ๑๐๐ ปี เทียบไม่ได้กับบุคคลผู้เห็นความเสื่อมของสังขารทั้งหลายแม้มีชีวิตอยู่แค่วันเดียวประเสริฐกว่า”
นางปฏาจาราภิกษุณี ครั้นบวชแล้ว ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหันต์ นางได้ขยันหมั่นเพียรศึกษาทำความเข้าใจ อย่างแจ่มชัดในพุทธธรรมคำสอนจนเป็นผู้ช่ำชองชำนาญในวินัยปิฏก.
ภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อจะทรงสถาปนาเหล่าภิกษุณีไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาพระปฏาจาราเถรีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาผู้ทรงวินัย
พระปฏาจาราเถรี ท่านมีเมตตาและได้ตระเวนอนุเคราะห์ อบรมสั่งสอนแก่สตรีผู้มีความทุกข์ยาก ดุจดังที่นางเคยประสบมา หลายท่าน ภายหลังสตรีเหล่านั้น ได้มาบวชเป็นภิกษุณี ด้วยท่านเป็นผู้ทรงพระวินัยและฉลาดในคาถาธรรม ทำให้สตรีหลายท่าน เช่น อุตตราเถรี จันทาเถรี ปัญจสตมัตตาเถรี เป็นต้น ฯลฯ ได้บรรลุพระอรหันต์จากคำอบรมสั่งสอนของภิกษุณีปฏาจาราเถรี อีกทั้งภิกษุณีเหล่านั้น ก็ยังได้ตระเวณแนะนำสอนสตรีอีก ๕๐๐ คน ให้เกิดความสังเวชใจจึงพากันบวชในสำนักของปฏาจาราเถรี ครั้นบวชแล้ว บำเพ็ญวิปัสสนากัมมัฏฐาน ไม่นานนักก็ตั้งอยู่ในพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ กันทั่วทุกองค์
ทีนี้เราท่านทั้งหลายมาตามดูอดีตชาติของภิกษุณีปฏาจาราเถรี กันว่าท่านมีประวัติในอดีตมาอย่างไร
สมัยของพระพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง ได้เสด็จอุบัติ ขึ้นแล้ว
วันหนึ่ง นางได้ไปเข้าเฝ้าพระปทุมุตรพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมเทศนาจากพระองค์แล้ว ก็บังเกิด ความเลื่อมใสยิ่งนัก จึงประกาศ ถือเอาพระพุทธองค์ เป็นสรณะ (ที่พึ่งที่ระลึกถึง)
วันนั้นพระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ ภิกษุณีรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มีความละอายต่อบาป (หิริ) เป็นเยี่ยม เป็นผู้ตั้งมั่นคงที่แล้ว ฉลาดคล่องแคล่ว ในกิจที่ควร และไม่ควร ว่าเป็นผู้เลิศ ในการทรงวินัย (เคร่งครัด ในข้อห้าม ข้อบังคับ) ยิ่งกว่า ภิกษุณีทั้งหลาย
ด้วยเหตุเช่นนั้น นางจึงบังเกิดจิตยินดี ปรารถนาตำแหน่งอย่างนั้นบ้าง จึงมุ่งสั่งสม บุญบารมี เอาไว้ให้มาก โดยนิมนต์ พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยหมู่สงฆ์ ถวายภัตตาหาร ให้ฉันตลอด ๗ วัน
และในวันสุดท้าย เมื่อนางถวายวัตถุทาน อันได้แก่บาตรและจีวรแล้ว ได้ซบศีรษะลงที่พื้น ต่อหน้าพระพักตร์ ของพระพุทธองค์ แล้วกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระพุทธองค์ผู้เป็นนายก(ผู้นำ)ของโลก พระองค์ทรงสรรเสริญ ภิกษุณีใด ไว้ในตำแหน่ง ผู้ทรงวินัยอันประเสริฐ ถ้าตำแหน่งนั้น จะสำเร็จแก่หม่อมฉันบ้าง หม่อมฉันตั้งใจมั่น (อธิษฐาน) จะเป็นเช่น ภิกษุณีนั้น “
พระปทุมุตรพุทธเจ้าได้ตรัสกับนางว่า “นางผู้เจริญ อย่าหวั่นใจเลย จงเบาใจเถิด นางจะได้ตำแหน่งนั้น ในอนาคต นับจากนี้ไป อีกแสนกัป จะมีพระศาสดา พระนามว่า โคดม เสด็จอุบัติขึ้นในโลก นางจะได้เป็นภิกษุณี ธรรมทายาท ของพระศาสดา พระองค์นั้น โดยมีนามว่า ปฏาจารา “
ได้ฟังเช่นนั้น นางยิ่งเกิดศรัทธา มีใจเบิกบานยินดีอย่างยิ่ง ตั้งจิตประกอบด้วย เมตตาธรรม บำรุงแด่พระพุทธเจ้า และหมู่สงฆ์ จนตลอดชีวิต
ด้วยกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว นางจึงเวียนว่ายตายเกิดเป็นเทวดา อยู่ในสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์
กระทั่งได้เกิดเป็นมนุษย์ ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ ผู้มีสาวกมากมาย ประเสริฐกว่า พวกบัณฑิตทั้งหลาย
คราวนั้นนางได้นามว่า ภิกขุนี เป็นพระธิดาองค์ที่ ๓ ของพระเจ้ากิกี ผู้เป็นใหญ่ ในแคว้นกาสี ครองราชย์ ในพระนครพาราณสี อันอุดมสมบูรณ์ และพระองค์ ทรงเป็นอุปัฏฐากของพระศาสดาด้วย
พระนางภิกขุนี จึงมีโอกาสได้ฟังธรรม ของพระพุทธองค์เสมอๆ กระทั่งเกิดจิตยินดี พอใจจะบรรพชา แต่พระราชบิดา มิได้ทรงอนุญาต พระนางจึงถือ ประพฤติพรหมจรรย์ ตลอดชีวิต เพลิดเพลินอยู่ด้วย การอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย
ก็ด้วยกรรมดีและการตั้งจิตไว้มั่น นางได้เวียนว่าย ตายเกิดในเทวโลก เสวยสมบัติอยู่พุทธันดรหนึ่ง
ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในครอบครัวเศรษฐี กรุงสาวัตถี และได้เข้ามาบวชในพระธรรมวินัยนี้ จนได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ ทั้งนางยังเป็นผู้ได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาว่าเป็น ผู้เลิศกว่าภิกษุณีสงฆ์ทั้งหลายในด้านพระวินัย เป็นผู้ปฏิบัติเคร่งครัดในข้อห้าม และข้ออนุญาต
ช่างน่าเสียดายนักในพระไตรปิฎกไม่ได้แสดงบุพกรรมอะไรเป็นเหตุให้นางต้องได้รับทุกขเวทนาอันแสนสาหัสจนต้องเสียสติเป็นบ้า แก้ผ้าแก้ผ่อน
แต่ไม่ว่าจะยังไง สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรมเสมอ
จบแล้วจ้า
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–