ประวัติพระกีสาโคตมีเถรี (ตอนที่ ๑)
๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
พระกีสาโคตมีเถรี ถือกำเนิดในสกุลคนเข็ญใจในกรุงสาวัตถี บิดามารดาตั้งชื่อให้นางว่า “โคตมี” แต่เพราะความที่นางเป็นผู้มีรูปร่างผอมบอบบาง คนทั่วไปจึงพากันเรียกนางว่า “กีสาโคตมี”
ในกรุงสาวัตถีนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่ง มีทรัพย์สินเงินทองมากมายถึง ๔๐ โกฏิ แต่ต่อมา ทรัพย์เหล่านั้น กลายสภาพเป็นถ่านไปทั้งหมด โดยมิรู้สาเหตุ เศรษฐีจึงเกิดความเสียดาย เศร้าโศกเสียใจ กินไม่ ได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบผอมไปจากเดิม
ต่อมามีสหายคนหนึ่ง มาเยี่ยมเยียนได้ทราบสาเหตุความ ทุกข์ของเศรษฐีแล้ว จึงแนะนำอุบายที่จะให้ถ่านเหล่านั้น กลับมาเป็นเงินเป็นทองดังเดิมว่า:-
“แน่ะสหาย ท่านจงนำถ่านทั้งหมดนี้ ออกไปวางที่ริมถนนในตลาด ทำทีประหนึ่งว่านำ สินค้าออกมาขาย ถ้ามีคนผ่านไปผ่านมาพูดว่า “คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น แต่ท่านกลับเอาเงินทองมานั่งขาย” ถ้าคนที่พูดนั้น เป็นหญิงสาว ท่านก็จงสู่ขอนางมา เป็นสะใภ้ แล้วมอบทรัพย์ทั้งหมดนั้นให้แก่เธอ ท่านก็จงอาศัยเลี้ยงชีพอยู่กับเธอนั้น แต่ถ้าคนที่ พูดเป็นชายหนุ่ม ท่านก็จงยกธิดาของท่าน ให้แก่เขา แล้วมอบทรัพย์ทั้งหมดให้แก่เขา โดยทำนอง เดียวกัน
เศรษฐีได้ฟังสหายแนะนำแล้ว เห็นดีด้วย จึงทำตามสหายแนะนำทุกอย่าง ประชาชนที่ ผ่านไปผ่านมาต่างก็พูดกันว่า “คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น แต่ท่าน กลับมานั่งขายถ่าน”
เศรษฐีตอบว่า “ก็เรามีแต่ถ่านอย่างเดียว สิ่งอื่น ๆ ของเราไม่มี”
วันนั้น นางกีสาโคตมี เดินเข้าไปธุระในตลาด เห็นเศรษฐีแล้ว นึกประหลาดใจจึงถามว่า “คุณพ่อ คนอื่นๆ เขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น แต่ทำไมคุณพ่อกลับ เอาเงินทองมาขายเล่า”
“เงินทองที่ไหนกัน แม่หนู” เศรษฐีกล่าว
“คุณพ่อ ก็ที่กองอยู่นี่ไง” พูดแล้วนางก็ก้มลงใช้มือทั้ง ๒ ข้างกอบเอาเงินและทองเหล่านั้นขึ้นมาเต็มมือให้เศรษฐีดู
เศรษฐีจึงได้เห็น ถ่านในกำมือของนาง กลายเป็นเงินเป็นทองได้จริงๆ
จากนั้น เศรษฐีได้สอบถามถึงสถานที่อยู่ และตระกูลของนางแล้ว ได้สู่ขอนางมาทำพิธีอาวาหมงคล (คือพิธีพาหญิงมาอยู่บ้านของตน) ให้แก่บุตรชายของตน แล้วยกทรัพย์ ๔๐ โกฏินั้น ให้แก่นาง ถ่านที่อยู่ในคลังเหล่านี้ก็กลับกลายเป็น เงินเป็นทองดังเดิม
ต่อมานางตั้งครรภ์ จนกาลล่วงไป ๑๐ เดือน นางจึงได้คลอดบุตรชายคนหนึ่ง ในเวลานั้นชนทั้งหลายจึงได้ทำความยกย่องนาง ว่าเป็นแม่หญิงที่สามารถ
ครั้นเมื่อบุตรของนางตั้งอยู่ในวัยพอจะวิ่งเล่นได้ จึงได้ล้มป่วยจนตาย ความเศร้าโศกก็ได้เกิดขึ้นแก่นาง
นางห้ามมิให้พวกญาติและบริวารนำบุตรนั้นไปเผา ด้วยเพราะนางคิดว่า บุตรชายของตนแค่นอนหลับ ไม่ยอมตื่นขึ้นเท่านั้น ด้วยเพราะนางไม่เคยเห็นความตายเกิดขึ้นในเรือนของนาง นางจึงอุ้มบุตรใส่สะเอวเที่ยวเดินไปตามบ้านเรือนในพระนครแล้วพูดว่า ขอพวกท่านจงให้ยาปลุกแก่บุตรของเราให้ตื่นขึ้นมาด้วยเถิด ดังนี้
ครั้นเมื่อนางเที่ยวถามไปว่า “ท่านทั้งหลายรู้จักยาเพื่อรักษาบุตรของฉันบ้างไหมหนอ?”
ผู้คนทั้งหลายจึงพูดกับนางว่า “แม่ เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เจ้าเที่ยวถามถึงยาเพื่อรักษาบุตรที่ตายแล้วจักมีมาแต่ไหน”
พวกคนทั้งหลายต่างก็กระทำการเย้ยหยันว่า ยาสำหรับคนตายแล้ว ท่านเคยเห็นที่ไหนบ้าง แต่นางมิได้เข้าใจความหมายแห่งคำพูดของพวกเขาเลย
ทีนั้น บุรุษผู้เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง เห็นนางแล้วคิดว่า
“หญิงผู้นี้คงจะคลอดบุตรคนแรก ยังไม่เคยเห็นความตาย เราควรเป็นที่พึ่งของหญิงนี้”
จึงกล่าวขึ้นว่า “แม่ ฉันไม่รู้จักยา แต่ฉันรู้จักคนผู้รู้ยา.”
นางโคตมี พอได้ฟังดังนั้น จึงบรรเทาความโศกเศร้า เริ่มมีความหวัง มีกำลังกาย ใจ นางได้ถามชายผู้เป็นบัณฑิตนั้นกลับไปว่า ท่านผู้เจริญใครเล่ารู้จักยานั้น
บัณฑิต: แม่นาง พระสมณโคดมทรงทราบ จงไปทูลถามพระองค์เถิด
นางกล่าวด้วยความลิงโลด ดีใจออกมาว่า “พ่อมหาจำเริญ ฉันจักไป จักทูลถามพระองค์”
นางจึงรีบอุ้มร่างบุตรชายเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่สุดข้างหนึ่ง ทูลถามว่า “ข้าแด่พระสมณโคดมผู้ประเสริฐ ทราบว่า พระองค์ทรงทราบยาเพื่อปลุกให้บุตรของหม่อมฉันหรือ? พระเจ้าข้า.”
พระพุทธองค์ตรัสด้วยพระอาการสงบว่า อย่างนั้นสีกา แต่ขอให้เธอจงไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาด มาหนึ่งกำมือเพื่อจะนำมาทำยา พร้อมทั้งทรงตรัสกำชับว่า เมล็ดพันธุ์ผักกาดที่ได้มานั้นจะต้องเอามาจากบ้านเรือนที่ไม่มีใครตายเลยจึงจะทำยาได้
กีสาโคตมี นางอุ้มร่างลูกน้อยที่กำลังจะเน่าเที่ยวไปขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากชาวบ้านทุกครัวเรือน ไม่ได้แม้แต่เมล็ดเดียว เพราะบ้านที่ไม่มีใครตายเลยนั้นไม่มี ล้วนแต่เคยมีคนตายมาแล้วทั้งนั้น นางเดินจนเข่าอ่อน ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นละออง จนมอมแมม อีกทั้งศพของบุตรชายของนางก็เริ่มเน่าเหม็น เป็นที่รังเกียจของชนทั้งหลาย แต่ด้วยหัวใจของแม่ที่รักลูกสุดชีวิต นางก็ยังไม่ละความพยายามที่จักแสวงหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านที่ไม่มีคนตายสืบต่อไป
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ โปรดติดตามตอนต่อไป
พุทธะอิสระ
——————————————–