ประวัติพระภิกษุณีอุบลวรรณาเถรี (ตอนที่ ๑)
๓๐ มกราคม ๒๕๖๗
พระอุบลวรรณาเถรี เกิดในตระกูลเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี บิดามารดาได้ตั้งชื่อให้นางว่า “อุบลวรรณา” ตามนิมิตลักษณะ ที่นางมีผิวพรรณเหมือนกลับดอกอุบลเขียว
เมื่อนางเจริญวัยเข้าสู่วัยสาว นอกจากจะมีผิวงามแล้ว รูปร่างลักษณะยังงดงาม ยากที่จะหาหญิงอื่นทัดเทียมได้ จึงเป็นที่หมายปองต้องการ ของพระราชาและมหาเศรษฐี ทั่วทั้งชมพูทวีป ซึ่งต่างก็ส่งเครื่องบรรณาการ อันมีค่าไปมอบให้ พร้อมกับสู่ขอ เพื่ออภิเษกสมรสด้วย
ฝ่ายเศรษฐีผู้บิดาของนาง รู้สึกลำบากใจด้วยคิดว่า
“เราไม่สามารถที่จะรักษาน้ำใจของคน ทั้งหมดเหล่านี้ได้ เราควรจะหาอุบายทางออกสักอย่างหนึ่ง” แล้วจึงเรียกลูกสาวมา ถามว่า:-
“แม่อุบลวรรณา เจ้าจะสามารถบวชได้ไหม ?”
นางได้ฟังคำของบิดาแล้ว ด้วยบุพพนิมิตแห่งกุศลกรรมที่นางได้สั่งสมมาในอดีต จึงทำให้นางรู้สึกร้อนทั่วสรรพางค์กาย เหมือนกับมีคนนำเอาน้ำมันที่เคี่ยว ให้เดือด ๑๐๐ ครั้ง ราดลงบนศีรษะของนาง ด้วยว่านาง ได้สั่งสมบุญมาแต่อดีตชาติ และการเกิด ในชาตินี้ ก็เป็นชาติสุดท้ายของนาง ดังนั้น นางจึงรับคำของบิดาด้วยความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เศรษฐีผู้บิดา จึงพานางไปยังสำนักของภิกษุณีสงฆ์ แล้วให้บวชเป็นที่เรียบร้อย เมื่อนางอุบลวรรณาบวชได้ไม่นาน ก็ถึงวาระที่จะต้องไปทำความสะอาดโรงอุโบสถ เธอได้จุดประทีป เพื่อขจัดความมืด แล้วกวาดโรงอุโบสถ เห็นเปลวไฟที่ดวงประทีปแล้ว ยึดถือเอา เป็นนิมิต ขณะที่กำลังยืนอยู่นั้น ได้เข้าฌานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ แล้วกระทำฌานนั้น ให้เป็น ฐานเจริญวิปัสสนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา และอภิญญาทั้งหลาย ณ ที่นั้น นั่นเอง
เมื่อพระเถรีสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้เที่ยวจาริกไปยังชนบทต่าง ๆ แล้วกลับมาพัก ที่ป่าอันธวัน สมัยนั้น พระผู้มีพระภาค ยังมิได้ทรงบัญญัติห้ามภิกษุณีอยู่ในป่าเพียงลำพัง ประชา ชนได้ช่วยกันปลูกกระท่อมไว้ในป่า พร้อมทั้งเตียง ตั่ง กั้นม่าน แล้วถวายเป็นที่พักแก่พระเถรีนั้น
ฝ่ายนันทมาณพ ผู้เป็นลูกชายของลุง ของพระเถรีนั้น มีจิตหลงรักนาง ตั้งแต่ยังไม่บวช เมื่อ ทราบข่าวว่าพระเถรีมาพักที่ป่าอันธวัน ใกล้เมืองสาวัตถี จึงได้ถือโอกาส ขณะที่พระเถรีเข้าไป บิณฑบาตในเมืองสาวัตถีนั้น ได้เข้าไปในกระท่อม หลบซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง เมื่อพระเถรีกลับมา แล้ว เข้าไปในกระท่อม ปิดประตูแล้วนั่งลงบนเตียง ขณะที่สายตายังไม่ปรับเข้ากับความมืด ใน กระท่อม นันทมาณพ ก็ออกมาจากใต้เตียง ตรงเข้าปลุกปล้ำ ข่มขืนพระเถรี ถึงแม้พระเถรีจะร้อง ห้ามว่า:-
“เจ้าคนพาล เจ้าอย่าพินาศฉิบหายเลย เจ้าคนพาล เจ้าอย่าพินาศฉิบหายเลย”
นันทมาณพ ก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ได้ทำการข่มขืนพระเถรี สมปรารถนาแล้ว ก็หลีกหนีไป พอ เขาหลบหนีไปได้ไม่ไกล แผ่นดินใหญ่ก็มีอาการ ประหนึ่งว่าไม่สามารถจะรองรับ น้ำหนักของเขา เอาไว้ได้ จึงอ่อนตัวยุบลง แล้วนันทมาณพก็จมดิ่งลงในแผ่นดิน ไปเกิดในอเวจีมหานรก
ฝ่ายพระอุบลวรรณาเถรี ก็มิได้ปิดบังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ได้บอกแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นกับตน นั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ต่อจากนั้น เรื่องราวของพระเถรีก็ทราบถึงพระบรมศาสดา
พระศาสดาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายมา ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นพาล เมื่อทำกรรมอันลามกแล้ว เป็นผู้ยินดีร่าเริง จิตยินดีฟูขึ้นๆ ประดุจบุรุษเคี้ยวกินรสของหวาน มีจำพวกน้ำผึ้ง และน้ำตาล กรวดเป็นต้น
แม้ที่สุด กรรมชั่วลามกหรือของหวาน ที่บุคคลนั้นซ่องเสพเข้าไป ก็จักกลับกลายเป็นดังโรคเรื้อนที่รักษาได้ยาก ต้องคันและเกาจนถึงกระดูก ก็ยังไม่หายคัน บุคคลนั้นหาได้รู้ตัวไม่ว่ากำลังทำร้ายตนเอง
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ (สืบเนื่อง) แสดงธรรม ตรัส พระคาถานี้ว่า :-
“คนพาลย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำผึ้ง ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล,ก็เมื่อใด บาปให้ผล, เมื่อนั้น คนพาล ย่อมประสพทุกข์”
เมื่อจบเทศนา คนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ คราวหน้าเราจะมาติดตามกันต่อ
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–