ประวัติท่านพระทัพพมัลลบุตร (ตอนที่ ๒)
๒ ตุลาคม ๒๕๖๖
ตอนที่แล้วจบลงตรงที่พระทัพพมัลลมหาเถระ ได้รับอนุญาตให้บวชเป็นพระภิกษุได้ ขณะยังเยาว์วัย และได้รับหน้าที่ช่วยเหลือกิจการคณะสงฆ์จนเป็นที่ยกย่อง ยอมรับขององค์พระบรมศาสดาว่าเป็นภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุอื่นในการจัดเสนาสนะให้แก่ภิกษุสงฆ์
วันนี้เราท่านทั้งหลายก็มาตามศึกษา เรียนรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นแก่ท่านพระทัพพมัลลเถระ ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง
สมัยหนึ่ง มีพระบวชใหม่สองรูป ชื่อ “พระเมตติยะ กับพระภุมมชกะ” เป็นผู้มีบุญวาสนาน้อย เมื่อได้อาหารหรือเสนาสนะก็มักจะได้แต่ของชั้นเลวเสมอ
วันหนึ่ง พระทัพพมัลลบุตร จัดให้ท่านไปฉันที่บ้านคหบดีผู้มีปกติถวายแต่ของชั้นดีแก่ภิกษุทั้งหลาย แต่วันนั้นคหบดี ทราบว่าท่านทั้งสองมา จึงสั่งให้สาวใช้จัดอาหารชั้นเลวถวายท่าน คือทำอาหารด้วยปลายข้าวและน้ำผักดอง เสานาสนะก็จัดให้นั่งที่ซุ้มประตู มิให้เข้ามาในบ้าน ทำให้ท่านทั้งสองขัดเคืองใจแล้วคิดว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระทัพพมัลลบุตร กลั่นแกล้ง
วันต่อมามีนางภิกษุณีชื่อเมตติยามาหาภิกษุเมตติยะ กับภิกษุภุมมชกะ ท่านทั้ง ๒ จึงเล่าเรื่องความทุกข์ให้แก่นางภิกษุณีฟังแล้วขอร้องให้นาง กล่าวหาพระทัพพมัลลบุตร ว่าข่มขืนนาง เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วภิกษุทั้ง ๓ จึงนำความกราบทูลพระผู้มีพระภาค ขอให้ลงโทษพระเถระด้วยการให้ลาสิกขาออกไป
พระผู้มีพระภาค รับสั่งให้ประชุมสงฆ์แล้วตรัสถามพระทัพพมัลลบุตร เถระว่า
“ดูก่อนทัพพะ เธอจำได้ไหมว่าได้ทำตามที่ภิกษุณีนี่กล่าวหา ?”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมายังไม่รู้จักการเสพเมถุน แม้แต่ในความฝันเลย จึงไม่จำต้องกล่าวถึงตอนตื่นอยู่ พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์สดับแล้ว จึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายสึกนางภิกษุณีเมตติยา นั้น แต่พระเมตติยะกับพระภุมมชกะกราบทูลและสารภาพว่าทั้งหมดเป็นแผนการของตนทั้ง ๒ รูป พระผู้มีพระภาค ทรงปรารภเหตุนั้นจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า
“ภิกษุโกรธเคืองภิกษุอื่นแล้วแกล้งโจทก์ด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ต้องอาบัติสังฆาทิเสส”
พระทัพพมัลละเถระ ท่านปฏิบัติหน้าที่ในการรับใช้คณะสงฆ์ด้วยความเรียบร้อยทุกประการ เป็นที่พอใจและยอมรับของพระภิกษุสงฆ์ทั่วไป แม้แต่ทายกทายิกา ก็ได้รับความพึงพอใจโดยทั่วกัน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้จัดเสนาสนะ
ท่านพระทัพพมัลลบุตรเถระ นิพพานที่เมืองราชคฤห์ โดยก่อนที่จะนิพพาน ท่านได้แสดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปในอากาศ ทำเตโชกสินจนเป็นสมาธิเข้าสู่สมาบัติ พร้อมทั้งอธิฐานให้เตโชธาตุเผาผลาญสรีระของท่านในท่ามกลางอากาศนั้น
เมื่อออกจากสมาบัติจึงนิพพาน เมื่อท่านนิพพานท่ามกลางอากาศนั้นแล้ว เตโชธาตุก็พลันเกิดขึ้นเผาสรีระของท่านจนไม่เหลือเศษแม้แต่เถ้าถ่าน อันเป็นไปตามความประสงค์ของท่าน
ทีนี้เราท่านทั้งหลายมาตามดูถึงบุพกรรมในอดีตชาติ ของท่านพระทัพพมัลละกัน
ท่านพระทัพพมัลลบุตร ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านได้เกิดเป็นบุตรเศรษฐี ได้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติ เสื่อมใสในพระศาสนา กำลังฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาอยู่ ได้มองเห็นภิกษุรูปหนึ่ง ผู้ซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาไว้ ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุ ผู้จัดแจงเสนาสนะ แล้วมีจิตเลื่อมใส
ได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ถวายมหาทานตลอด ๗ วัน พอล่วงได้ ๗ วัน ได้หมอบลงแทบพระบาท ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทูลความปรารถนาที่จักบังเกิดในภพชาติต่อไปว่า
ขออานิสงส์ผลบุญครั้งนี้จงเป็นเหตุปัจจัยให้ตนได้รับตำแหน่งเป็นพระเถระผู้เป็นเลิศในการจัดแจกเสนาสนะแก่หมู่ภิกษุบริษัททั้ง ๔
องค์พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบถึงความสำเร็จของเขา จึงได้ทรงประทานตรัสพยากรณ์รับรองว่า
ความปรารถนาจักสำเร็จในอนาคต พุทธเจ้าอันทรงพระนามว่า พระสมณโคดม
ต่อมาท่านได้บำเพ็ญกุศลกรรม จนตลอดชีวิตแล้ว จุติจากอัตภาพนั้น ได้เสวยทิพยสมบัติ ในหมู่เทวดาชั้นดุสิตอยู่เนิ่นนาน แล้วจุติจากอัตภาพนั้น มาเกิดในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ท่านได้บังเกิดในตระกูลคหบดีแห่งหนึ่ง แต่กลับดันหลงผิดไปคบหากับอสัตบุรุษ คนพาลที่มีจิตอกุศล รังเกียจพวกสมณะ หัวโล้น พอรู้ว่าภิกษุสาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี เป็นพระอรหันต์ ก็ยังได้กล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง
ต่อมาท่านพระทัพพมัลละ ได้กลับใจมีจิตศรัทธา ท่านได้ถวายสลากภัตรน้ำนม แด่พระสาวกทั้งหลาย ของพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นอาจิณ ท่านได้ทำบุญจนตลอดอายุขัยแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้เสวยสมบัติในโลกทั้งสองแล้ว
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เขาได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง ได้ออกบวชหลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว
ในเวลาต่อมาเมื่อพระศาสนาใกล้จะเสื่อมสิ้นลง เขาและเพื่อนภิกษุอีก ๖ รูป มองเห็นความเสื่อมในการประพฤติของบริษัท ๔ ก็พากันสังเวชสลดใจ คิดว่า ตราบใดที่พระศาสนายังไม่เสื่อมสิ้นไป พวกเราจงเป็นที่พึ่งแก่ตนเองเถิด
จึงพากันไปสักการะพระสุวรรณเจดีย์สูงหนึ่งโยชน์ที่มหาชนได้ร่วมกันสร้างเมื่อครั้งพระกัสสปพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว ภิกษุทัพพมัลละ นั้นได้มองเห็นภูเขาสูงชันลูกหนึ่ง จึงชวนกันขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่บนภูเขาลูกนั้น โดยตั้งใจว่าถ้าไม่สำเร็จมรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะยอมสิ้นชีวิตอยู่บนนั้น แล้วจึงตัดไม้ไผ่มาทำเป็นพะอง (บันไดไม้) เพื่อปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผาของภูเขานั้น เมื่อทั้งหมดพากันขึ้นไปยังยอดสูงของภูเขาลูกนั้นแล้ว ก็ผลักพะองให้ตกหน้าผาไปเพื่อให้ไม่มีทางกลับลงมาได้ แล้วต่างก็แยกย้ายกันบำเพ็ญสมณธรรมอยู่บนยอดเขานั้น
ในบรรดาภิกษุทั้ง ๗ รูปเหล่านั้น พระเถระผู้อาวุโสสูงสุด ก็ได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยอภิญญา ๖ ในคืนนั้นเอง
ครั้นรุ่งเช้าพระมหาเถระจึงไปสู่ หิมวันตประเทศด้วยฤทธิ์ ล้างหน้าที่สระอโนดาต เที่ยวไปบิณฑบาตในอุตตรกุรุทวีป ฉันอาหารเสร็จแล้วได้ไปบิณฑบาตรยังที่อื่นต่อไป ได้ภัตตาหารเต็มบาตรแล้ว เอาน้ำที่ สระอโนดาตล้างหน้าแล้วและเคี้ยวไม้สีฟันชื่อ นาคลดา (ไม้เถาพูล) แล้วจึงนำภัตและสิ่งของเหล่านั้นเหาะมายังยอดเขาที่อยู่ของพระภิกษุที่ยังไม่บรรลุธรรมทั้ง ๖ รูป แล้วกล่าวว่า
อาวุโส ทั้งหลาย บิณฑบาตนี้ผมนำมาจากแคว้นอุตรกุรุ น้ำและไม้สีฟันนี้นำมาจากหิมวันตประเทศ ท่านทั้งหลายจงฉันภัตตาหารนี้แล้วจึงบำเพ็ญ สมณธรรมเถิด ผมจะอุปัฏฐากพวกท่านอย่างนี้ตลอดไป ภิกษุเหล่านั้นได้ฟัง แล้วจึงกล่าวว่า พระคุณเจ้าขอรับ พระคุณเจ้าทำกิจเสร็จแล้ว พวกกระผม แม้เพียงสนทนากับพระคุณเจ้าก็เสียเวลาไปแล้ว บัดนี้ ขอพระคุณเจ้าอย่ามาหา พวกกระผมอีกเลย พระมหาเถระนั้นครั้นเห็นว่า เพื่อนภิกษุทั้ง ๖ รูปไม่ยอมให้ตนอุปัฏฐาก ท่านก็หลีกไป
บรรดาภิกษุที่เหลือทั้ง ๖ มีรูปหนึ่ง โดยล่วงไป ๒-๓ วันได้เป็น พระอนาคามีบ้างได้อภิญญา ๕ ภิกษุผู้บรรลุธรรมนั้นก็ได้ทำเหมือนอย่างเช่นที่พระเถระที่บรรลุพระอรหันต์ทำเหมือนกัน คือ ขอปวารณาตัวที่จะเป็นผู้หาน้ำและอาหารมาถวายแต่ก็ถูกภิกษุที่เหลือที่ยังไม่บรรลุธรรมใดๆ ห้ามให้มารบกวน
ต่อมาภิกษุที่เหลือ ๕ องค์นั้น ครั้นเวลาผ่านไปถึงวันที่ ๗ จากวันที่ขึ้นไปสู่ภูเขาก็ยังไม่บรรลุคุณวิเศษใดๆ จึงมรณภาพแล้วก็ไปเกิดในเทวโลก
ฝ่ายพระเถระผู้เป็นอรหันต์ขีณาสพทั้ง ๒ รูปก็ปรินิพพานในวันนั้นนั่นเอง ส่วนองค์ที่เป็นพระอนาคามี เมื่อมรณภาพลงแล้วได้บังเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาส ส่วนเทพบุตรทั้ง ๕ เสวยทิพยสมบัติใน สวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้นกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้น จนกาลเวลาล่วงเลยมาจนถึงพระศาสนาขององค์พระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมนี้ภิกษุ ๔ รูปเหล่านี้ คือ ปุกกุสาติ สภิยะ พาหิยะ กุมารกัสสปะ ได้มาบังเกิดในโลกมนุษย์นี้
และเวลาต่อมาท่านพระทัพพมัลลบุตรเถระ มาบังเกิดในราชสกุลมัลละพระองค์หนึ่ง ในอนุปิยนคร มัลลรัฐ
จบแล้วจ้า คราวหน้าจะนำเอาประวัติของสามเณรสุมนะ ผู้ที่ได้รับพุทธานุญาติให้บวชเป็นพระภิกษุได้ตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเด็กมาเล่าสู่กันสืบไป
และหากจะมีคำถามแทรกเข้ามาว่า และเพราะเหตุอันใดเล่าท่านพระทัพพมัลลเถระ ขณะที่อยู่ในท้องของพระมารดาทั้งที่ตายแล้ว พอถูกนำร่างขึ้นสู่กองไฟ จึงยังไม่ตายตามมารดาไปด้วย อีกทั้งยังไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย
อธิบายว่า ทารกทัพพมัลละ ดำรงอยู่ในท้องของมารดาได้ด้วยบุญยฤทธิ์ที่ตนได้สั่งสมมากับพระพุทธเจ้าถึง ๓ พระองค์ คือ พระปทุมุตตระ พระวิปัสสีพุทธเจ้า และพระกัสสปพุทธเจ้า
ทั้งยังได้เคยตั้งมหาปณิธานที่จะได้เป็นภิกษุอันเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในการรับใช้จัดเสนาสนะให้แก่ภิกษุบริษัททั้ง ๔
ถามว่า และเพราะเวรกรรมอันใด ท่านถึงต้องประสบวิบากกรรม ขณะที่อยู่ในท้องพระมารดา และคลอดโดยถูกไฟเผาลน
อธิบายว่า ก็ด้วยเหตุแห่งกรรมที่ท่านไปคบกับคนพาลอยู่พักหนึ่ง ในสมัยของพระพุทธเจ้าวิปัสสีพุทธเจ้า จนได้กล่าวตู่ใส่ร้ายพระอรหันต์รูปหนึ่งว่า เป็นผู้มักมากในลาภสักการะ
ท่านจึงต้องมารับผลกรรมที่ทนอยู่ในท้องมารดาที่ตายแล้ว และด้วยบุญยฤทธิ์อีกนั้นแหละ จึงได้ไฟเผาลนจนท้องมารดาระเบิดทารกนั้น จึงกระเด็นออกมากองอยู่บนกองฟืน โดยไม่มีอันตรายใดๆ เลย
เช่นนี้ก็อาจจะกล่าวได้ว่า ไฟเป็นผู้ให้กำเนิดท่าน
แม้ขณะที่ท่านได้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังถูกภิกษุเมตติยะ กับภิกษุภุมมชกะ ใส่ร้ายท่านในเรื่องชู้สาว
นี้จึงสมกับคำว่า
ลูกรัก
บุญ คือ เครื่องยังให้สำเร็จถึงสมบัติทั้งปวง
บาป กรรมชั่ว ย่อมยังให้ประสบเภทภัยทั้งปวง
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–