สรภังคชาดก (ตอนที่ 10)

0
33

สรภังคชาดก (ตอนที่ ๑๐)
๑๒ มกราคม ๒๕๖๖

ความเดิมตอนที่แล้ว

จบลงตรงที่นครพาราณสีได้ถูกเทวดาผู้เฝ้าอารักขาพระฤาษีกีสวัจฉ ได้ลงโทษราชาทัณฑกีราช และชาวเมืองพาราณสี

โทษฐานดูหมิ่น เหยียดหยามด้วยการถ่มน้ำลาย และโยนไม้สีฟันบนศีรษะขององค์ฤาษีผู้ทรงฌาน ด้วยการลงโทษบันดาลให้เกิดฝนบรรลัยกัลป์ ๗ ประการตกลงมาล้างผลาญชาวนครพาราณสี

ฝน ๗ ประการนั้นได้แก่

– ฝนน้ำตกตลอด ๗ วัน จะทำให้น้ำท่วมไปทั่วเมืองพาเอาขยะและซากศพทั้งคนและสัตว์มากองสุมกันทั่วเมือง

– ฝนเม็ดทรายตกลงมาทับถมกองขยะและซากอสุภะตลอด ๗ วัน

– เมื่อฝนทรายหยุดตกก็ตามมาด้วยฝนดอกไม้ทิพย์ ตกลงมาจนเต็มนคร ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลจนชาวพระนครทนต่อกลิ่นดอกไม้นั้นไม่ได้ จนวิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียนกันทุกคน

– ฝนดอกไม้ตกลงมาครบ ๗ วัน ฝนแก้วแหวนเงินทองก็ตกลงมาตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทำให้ผู้คนในพระนครต่างออกมาเที่ยวเก็บแก้วแหวนเงินทองเหล่านั้น

– ฝนศาสตราวุธ ขณะที่ทุกคนกำลังขมักเขม่นในการเก็บของมีค่าอยู่นั้น ไม่เว้นแม้แต่องค์ราชาอยู่ๆ บนฟ้าก็มีศาสตราวุธสารพัดชนิดตกลงมาทิ่มแทง เชือดเฉือนร่างกายของชาวเมืองที่กำลังยุ่งอยู่กับการเก็บของมีค่าอยู่

– ฝนลูกไฟบรรลัยกัลป์ตกลงมาเผาผลาญชาวงเมืองและบ้านเรือน จนทำให้ทั้งเมืองกลายเป็นทะเลเพลิง ไม่เว้นแม้แต่พระราชวังขององค์ราชา แม้ตัวราชาและพระราชวงศ์ที่ไปร่วมถ่มน้ำลายใส่ตัวฤาษีกีสวัจฉ ล้วนถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน

รวมความแล้วทุกชีวิตในนครพาราณสีไม่มีผู้ใดรอดไปได้เลย

– ฝนทรายละเอียดก็พรั่งพรูลงมาถ่มทับจนท่วมสูงถึง ๖๐ โยชน์

แล้วถามว่ามหาฤาษีกีสวัจฉจะรอดไหม ฝนบรรลัยกัลป์ตกลงมาล้างผลาญชาวนครพาราณสีเสียขนาดนี้

อันที่จริงมหาฤาษีท่านก็ปลงใจว่า ตนเป็นต้นเหตุที่ทำให้มหาภัยพิบัติในครั้งนี้เกิดขึ้น จึงคิดจะตายร่วมกับชาวพระนคร แต่อาจารย์ของท่านคือ มหาฤาษีสรภังคดาบส ได้สั่งให้ฤาษีบิวารเหาะมารับตัวท่านไปเสียก่อนที่จะเกิดฝนบรรลัยกัลป์ทั้ง ๗ ตกลงมา

วันคืนล่วงไปสิ้นเวลานับพันปี นครพาราณสีก็กลับมารุ่งเรือนเจริญขึ้นอีกครั้งหนึ่งรอบๆ พระนครพาราณสีก็เกิดพระนครที่ก่อร่างสร้างขึ้นมาใหม่อีก ๓ พระนครโดยมีองค์ราชากาลิงคะ องค์ราชาอัฏฐกะ และองค์ราชาภีมรถ ทั้ง ๓ พระองค์ทรงเป็นพระสหายกัน

ต่างปรารภเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากับพระนครพาราณสีในอดีต เมื่อพันปีที่แล้ว จึงต้องการรู้ความเป็นมาเป็นไปให้ถ่องแท้ว่า ที่เขาลือกันมาเมื่อพันปีก่อนนั้นจะจริงเท็จประการใด

ราชาทั้ง ๓ องค์จึงปรารภกันว่า ยังจะมีผู้ใดเล่าที่จะสามารถบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีที่แล้วได้ นอกจากท่านมหาฤาษีสรภังคศาสดา

ราชาทั้ง ๓ พระองค์ทรงดำริที่จะเดินทางพร้อมมหาชนเป็นอันมากเพื่อไปเฝ้าถามปัญหานั้นแก่มหาฤาษีสรภังคะ ณ ริมฝั่งแม่น้ำโคธาวรี

ขณะนั้นท้าวสักกเทวราชก็ให้กระวนกระวาย ร้อนรุ่มจึงทรงดำริว่า ดูท่าในโลกมนุษย์จักบังเกิดเหตุใดต่อผู้ทรงศีลทรงธรรมอีกเป็นแน่ จึงส่งทิพยเนตรลงมาตรวจดู ทำให้รู้ว่า วันนี้จักเป็นวันสิ้นอายุขัยของท่านฤาษีกีสวัจฉ

บัดนี้ราชาทั้ง ๓ พร้อมบริวารและมหาชนเป็นอันมากนับได้หลายโกฏิ ได้มาประชุมพร้อมกันเพื่อจะถามปัญหาต่อองค์มหาฤาษีสรภังคโพธิสัตว์

ดูจะเป็นกาลอันดียิ่งที่จะทำให้มหาชนเหล่านั้นได้เห็นถึงปัญญาธิคุณที่มีอยู่ในองค์พระโพธิสัตว์จึงคิดผูกปัญหาขึ้น ๗ ข้อ เพื่อถามองค์มหาฤาษีโพธิสัตว์

ท้าวมัฆวานจึงเหาะลงมาลอยอยู่บนอากาศเหนือแม่น้ำโคธาวรี พร้อมทั้งเหล่าเทวดาทุกองค์ในเทวโลก

ข้างฝ่ายฤาษีทั้งหลายในโลกธาตุได้รับรู้ด้วยญาณว่า วันนี้ท่านมหาฤาษีกีสวัจฉ ศิษย์ของคุรุเทพฤาษีสรภังคะ จะถึงการสิ้นอายุขัยลง

ฤาษีทุกองค์จึงได้พากันเหาะมาประชุมเพื่อทำความเคารพปัจฉิมปฏิสันถารฤาษีกีสวัจฉเป็นครั้งสุดท้าย

จบแค่นี้ก่อนนะจ๊ะ

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid02w7frcMcpLzFBZLCnjbf8NZX658rYKMRScvfbedPvR7HnV7MMw223j1XGtS9Fry6El