เรื่องนี้ต้องขยาย (พระสารีบุตร ตอนที่ ๒)
๙ สิงหาคม ๒๕๖๕
ในเวลาต่อมาพระอัสสชิเถระอันเป็นหนึ่งในปัญจวัคคีย์ หลังจากได้ฟังธรรมจาก พระพุทธองค์ จนบรรลุอรหันต์แล้ว วันหนึ่งท่านถือบาตรและจีวร ไปสู่กรุงราชคฤห์เพื่อบิณฑบาตแต่เช้าตรู่ ขณะนั้นอุปติสสะได้เผอิญพบพระอัสสชิเถระ ขณะที่กำลังบิณฑบาต พอได้เห็นจึงเกิดความประทับใจในอิริยาบถสำรวม น่าเลื่อมใสของท่านพระอัสสชิเถระ ผู้มีอินทรีย์ฝึกดีแล้ว จึงเกิดความคิดว่า ท่านผู้นี้คงจักเป็นพระอรหันต์เป็นแน่ จึงได้เดินตามท่านพระอัสสชิเถระไปข้างหลัง รอคอยโอกาสที่จะเข้าไปสนทนา
เมื่อสบโอกาสอุปติสสะจึงเข้าไปถาม
“ท่านเป็นสาวกของใคร พระศาสดาสอนอย่างไรแก่ท่าน”
พระอัสสชิเถระจึงได้กล่าวว่า
“ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้า ตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะเจ้ามีปกติตรัสอย่างนี้”
ประเด็นที่ต้องมาพิจารณา คือคำว่า ธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด
อธิบายคำว่า ธรรมเหล่าใด หมายถึง ธรรมที่เป็นทั้งฝ่ายกุศล และฝ่ายอกุศล ทั้งที่มีวิญญาณครอง และไม่มีวิญญาณครอง
อธิบายคำว่า มีเหตุเป็นแดนเกิด หมายถึง ธรรมทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล และที่มีวิญญาณครอง ล้วนเกิดมาจาก
อวิชชา ความไม่รู้จริง
ตัณหา ความทะยานยาก
อุปาทาน ความยึดถือ
เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดภพแดนเกิด ชาติการเกิด ๔
แล้วทุกข์ โทมนัส ก็ตามมา หมุนวนกันอยู่เช่นนี้ จึงเรียกว่า วัฏฏะ คือ การหมุนวน
ส่วนเหตุแห่งแดนเกิดของธรรมที่ไม่มีวิญญาณครอง หมายถึง ธรรมตั้งต้นของสิ่งนั้นๆ ชื่อนั้น ใช้ประโยชน์ตามที่มีชื่อเรียกขาน
ส่วนคำว่า พระตถาคตเจ้าทรงตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
คำว่า การดับเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น หมายถึง ไม่ว่าจะเป็นธรรมฝ่ายกุศลและธรรมฝ่ายอกุศล รวมทั้งที่มีวิญญาณครองและไม่มีวิญญาณครอง
ขณะนั้นอุปติสสะได้มีดวงตาเห็นธรรม บรรลุพระโสดาบันแล้วจึงกราบลาพระอัสสชิเถระ เพื่อนำธรรมที่ตนได้สดับแจ้งแก่โกลิตะสหายที่ได้เคยตกลงกันเอาไว้ว่า
หากผู้ใดพบเจอผู้บอกทาง ผู้ชี้ทาง ผู้แสดงธรรมได้แจ่มแจ้งจนสามารถหลุดพ้นจากการครอบงำของกามคุณทั้ง ๕ ได้ก็ให้มาแจ้งแก่กัน
เวลาต่อมาโกลิตะเมื่อได้สดับธรรมที่เพื่อนอุปติสสะมาแสดงให้ฟัง ก็ได้มีดวงตาเห็นธรรมบรรลุพระอริยบุคคลเป็นพระโสดาบัน
เมื่ออุปติสสะและโกลิตะได้เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นแล้ว ทั้งสองจึงได้คิดถึงสัญชัยปริพาชกผู้เป็นอาจารย์ว่ายังไม่ได้บรรลุธรรมใดๆ ทั้งที่บำเพ็ญพรตมานาน
ทั้งสองจึงได้ชักชวนกันไปหาอาจารย์สัญชัยเพื่อชวนให้มาเข้าเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีแล้ว มีอยู่จริง
ประเด็นที่ต้องอธิบาย คือ ทำไมทั้งสองท่านจึงกล่าวแก่อาจารย์สัญชัยปริพาชกว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีแล้ว มีอยู่จริง ก็เพราะในยุคนั้นผู้ที่ตั้งตัวเป็นครูบาอาจารย์ทุกคนล้วนอวดอ้างตนว่าเป็นอรหันต์กันทั้งหมด
เพื่อสร้างความยอมรับและบริวาร ลาภสักการะ
เมื่อสัญชัยปริพาชกได้ถูกชักชวนจากศิษย์ทั้งสองให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม
แต่ด้วยความมีอัสมิมานะ ทระนง เย่อหยิ่ง ถือตัวถือตนทำให้สัญชัยพลาดโอกาสอันอุดมมงคลของการได้เกิดเป็นมนุษย์ สัญชัยปริพาชกจึงได้ปฏิเสธพร้อมถามอุปติสสะว่า สมณโคดมของเจ้าสอนคนโง่หรือสอนคนฉลาด
อุปติสสะ ตอบว่า สอนคนฉลาด
สัญชัยปริพาชก จึงถามต่อว่า ในโลกนี้มีคนโง่มากกว่าหรือคนฉลาดมากกว่า
อุปติสสะ ตอบว่า ในโลกนี้มีคนโง่มากกว่าคนฉลาด
สัญชัยปริพาชก จึงกล่าวว่า เช่นนั้นก็ให้สมณโคดมสอนคนฉลาดไปเถิด ส่วนข้าจะสอนพวกคนโง่เอง
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ทำไมสัญชัยปริพาชกจึงไม่ไปเฝ้าพระบรมศาสดา
มีประเด็นที่ต้องอธิบาย ๒ ประเด็น คือ เหตุที่สัญชัยไม่ยอมไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาก็เพราะ
๑. เพราะความดื้อรั้น ถือตัวถือตนมีทิฐิมานะ
๒. เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ และชื่อเสียง ซึ่งกลัวว่าหากไปยอมศิโรราบต่อพระสมณโคดม สิ่งเหล่านี้จะสูญหายไป
ด้วยความโง่เขลาของสัญชัยนี้เอง จึงทำให้สัญชัยพลาดโอกาส พลาดประโยชน์จากการเป็นมนุษย์ไปอย่างน่าเสียดาย
พุทธะอิสระ
——————————————–