ประวัติพระปฏาจาราเถรี (ตอนที่ ๑)
๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
นางปฏาจารา เป็นธิดาของมหาเศรษฐีในเมืองสัตถี เมื่ออายุย่างได้ ๑๖ ปี เป็นหญิงมี ความงดงามมาก บิดามารดาทะนุถนอมห่วงใย ให้อยู่บนปราสาท ชั้น ๗ เพื่อป้องกันการคบหากับ ชายหนุ่ม
แม้กระนั้น เพราะอำนาจบุพเพ ทำให้นางได้ผูกสมัครรักใคร่กับบุรุษรับใช้ภายในบ้าน จนตกเป็นภรรยาของบุรุษนั้น
ต่อมาบิดามารดาของนาง เพื่อจะปิดบังความอายที่จะมีต่อธารกำนัล จึงได้ตกลงยกนางให้แก่ชายคนหนึ่ง ที่มีชาติสกุลและทรัพย์เสมอกัน เมื่อใกล้กำหนดวันวิวาห์ นางได้พูดกับคนรับใช้ ผู้เป็นสามีว่า:-
“นี่แนะสามี เธอได้ทราบเรื่องที่บิดามารดาได้ยกฉันให้กับลูกชายสกุลเศรษฐีในตำบลโน้นหรือไม่ ต่อไปสามีก็จะไม่ได้พบกับ ฉันอีก ถ้าท่านรักฉันจริง ท่านก็จงพาฉันหนีไปจากที่นี่แล้วไปอยู่ร่วมกันที่อื่นเถิด”
เมื่อทั้ง ๒ ตกลงนัดหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายคนรับใช้ได้ไปรอนางอยู่ข้างนอกเรือนจนถึงยาม ๑ ของราตรี นางก็หอบผ้าหอบผ่อนหนีบิดามารดาออกจากเรือน ไปครองรักครองเรือนกัน ในบ้าน ตำบลหนึ่ง ซึ่งไม่มีคนรู้จัก ช่วยกันทำไร่ ไถนา เข้าป่าเก็บผักหักฟืนหาเลี้ยงชีวิตกันไป ตามอัตภาพ
นางตกระกำลำบาก ตักน้ำ ตำข้าว ปลูกผัก หักฟืน หุงต้มด้วยมือของตนเอง ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส เพราะตนไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน แต่ด้วยความรักสามี แม้ตัวจะลำบากก็ไม่ปริปากบ่น
กาลเวลาผ่านไป นางได้ตั้งครรภ์บุตรคนแรก เมื่อครรภ์แก่ขึ้น นางจึงอ้อนวอนสามีให้พา นางกลับไปยังบ้านของบิดามารดา เพื่อคลอดบุตร เพราะการคลอดบุตรในที่ไกลจากบิดามารดา และญาตินั้น เป็นอันตราย แต่สามีของนางก็ไม่กล้าพากลับไป เพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษอย่างรุน แรง จึงพยายามพูดจาหน่วงเหนี่ยวเธอไว้ จนนางเห็นว่าสามีไม่พาไปแน่
วันหนึ่ง เมื่อสามีออกไปทำงานนอกบ้าน นางจึงสั่งเพื่อนบ้านใกล้เคียงกัน ให้บอกกับสามีด้วยว่านางจะไปคลอดบุตรที่บ้านของบิดามารดา แล้วนางก็ออกเดินทางไปตามลำพัง เมื่อสามีกลับมา ทราบความจากเพื่อนบ้านแล้ว ด้วยความห่วงใยภรรยาจึงรีบออกติดตาม ไปทันพบนางในระหว่างทาง แม้จะอ้อนวอนอย่างไร นางก็ไม่ยอมกลับ
ทันใดนั้น ลมกัมมัชวาต เกิดกำเริบเป็นเหตุให้นางมีอาการปวดท้องใกล้คลอดเกิดขึ้นแก่นาง สองสามีภรรยาจึงพากันเข้าไปพักอยู่ใต้ร่มไม้ริมทาง นางนอนกลิ้งเกลือก ทุรนทุรายเจ็บปวดท้อง ร้องครวญคราง ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
ในที่สุด ก็คลอดบุตรออกมาด้วยความยากลำบาก เมื่อคลอดบุตรโดยปลอดภัยแล้ว จึงปรึกษากันว่า “กิจที่ต้องการไปคลอดที่เรือนของบิดา มารดานั้นเป็นอันไม่มี จะเดินทางต่อไปก็ไม่มีประโยชน์” จึงพากันกลับบ้านของตน อยู่ช่วยกันเลี้ยงดูบุตรคนแรก
ปีต่อมา นางจึงได้ตั้งครรภ์อีก เมื่อครรภ์แก่ขึ้นตามลำดับ นางจึงอ้อนวอนสามีเหมือน ครั้งก่อน แต่สามีก็ยังคงไม่ยินยอมเช่นเดิม นางจึงอุ้มลูกคนแรก หนีออกจากบ้านไป แม้สามีจะ ตามมาทัน ชักชวนให้กลับก็ไม่ยอมกลับ จึงเดินทางร่วมกันไป เมื่อเดินทางมาได้อีกไม่ไกลนัก เกิดลมพายุพัดอย่างแรง และฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก พร้อมกันนั้น นางก็ปวดท้องใกล้จะคลอดขึ้น มาอีก จึงพากันแวะลงข้างทาง ฝ่ายสามีได้ไปหาตัดกิ่งไม้ เพื่อมาทำเป็นที่กำบังลมและฝน แต่ เคราะห์ร้ายถูกงูพิษกัดตาย ในป่านั้น
นางทั้งปวดท้องทั้งหนาวเย็น ลมฝนก็ยังคงตกลงมาอย่างหนัก นางเฝ้ารอคอยสามีด้วยความกระวนกระวาย แต่สามีของนางกลับหายไปไม่กลับมา ในที่สุดนางก็คลอดบุตรคนที่สองอย่างนาสังเวช ลูกของนางทั้งสองคน ทนกำลังลมและฝนไม่ไหว ต่างก็ร้องไห้กันเสียงดังลั่น แข่งกับลม ฝน นางต้องเอาลูกทั้งสองมาอยู่ใต้ท้อง โดยนางใช้มือและเข่ายืนบนพื้นดิน ในท่าคลาน โดยใช้ร่างเป็นดังโล่กำบังลมและฝน จนได้รับทุกขเวทนาอย่างมหันต์ สุดจะพรรณนาได้
เมื่อท้องฟ้าเริ่มสาง รุ่งอรุณเคลื่อยคล้อยเข้ามา สามีก็ยังไม่กลับมา นางจึงอุ้มลูกคนเล็กซึ่งมีคราบเลือดที่เกิดจากการคลอดใหม่ๆ เนื้อหนังยังแดงก่ำ อีกมือก็จูงลูกคนโต ออกเดินตามหาสามี เห็นสามีนอนตายอยู่ข้างจอมปลวก จึงร้องไห้รำพันว่า สามีตายก็เพราะนางเป็นเหตุ เมื่อสามีตายแล้ว ครั้นจะกลับไปที่บ้านทุ่งนา ก็ไม่มีประโยชน์ จึงตัดสินใจ ไปหาบิดามารดาของตนที่เมืองสาวัตถี โดยอุ้มลูกคนเล็ก และจูงลูกคนโตเดินไปด้วยความทุลักทุเล เนื้อตัวเปรอะเปื้อนเปียกปอน เหนื่อยล้าอ่อนแรง โซซัด โซเซ ดูช่างน่าสังเวชยิ่งนัก
นางเดินทางมาถึงริมฝั่งแม่น้ำจิรวดี มีน้ำเกือบเต็มฝั่ง เนื่องจากฝนตกเมื่อยามราตรีที่ผ่านมา นางไม่สามารถจะนำลูกน้อยทั้งสอง ข้ามแม่น้ำไปพร้อมกันได้ เพราะนางเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น แต่อาศัยที่น้ำไม่ลึกนัก พอที่จะเดินลุยข้ามไปได้ จึงสั่งให้ลูกคนโต รออยู่ก่อนแล้ว อุ้มลูกคนเล็กข้าม แม่น้ำไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อถึงฝั่งแล้ว ได้นำใบไม้มาปูรองพื้น ให้ลูกคนเล็กนอนที่ชายหาด แล้วกลับ ไปรับลูกคนโต ด้วยความห่วงใยลูกคนเล็ก นางจึงเดิน พลางหันกลับมาดูลูกคนเล็กพลาง
ขณะที่มาถึงกลางแม่น้ำนั้น มีนกเหยี่ยวตัวหนึ่ง บินวนไปมาอยู่บนอากาศ มันเห็นเด็กน้อยนอนอยู่มี ลักษณะเหมือนก้อนเนื้อ ทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือด จึงบินโฉบลงมา แล้วเฉี่ยวเอาเด็กน้อยไป นางตกใจสุดขีดไม่รู้จะทำอย่าง ไรได้ จึงได้แต่โบกมือร้องไล่ ตามเหยี่ยวไป แต่ก็ไม่เป็นผล เหยี่ยวพาลูกน้อยของนางไปเป็น อาหาร
ส่วนลูกคนโต ยืนรอแม่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เห็นแม่โบกมือทั้งสอง ตะโกนร้องอยู่กลางแม่น้ำ ก็ เข้าใจว่าแม่เรียกให้ตามลงไป จึงวิ่งลงไปในน้ำ ด้วยความไร้เดียงสา ถูกกระแสน้ำ พัดพาจมหายไป
เมื่อสามีและลูกน้อยทั้งสอง ตายจากนางไปหมดแล้ว เหลือแต่นางคนเดียวนางจึงเดินทาง มุ่งหน้าสู่บ้านเรือนของบิดามารดา ทั้งหิวทั้งเหนื่อยล้า ได้รับความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ รู้ สึกเศร้าโศกเสียใจสุดประมาณ พลางเดินบ่นรำพึงรำพันไปว่า:-
“บุตรคนหนึ่งของเรา ถูกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาไป บุตรอีกคนหนึ่งของเรา ก็จมน้ำหายไป สามีของเราก็มาถูกงูกัดตาย”
นางเดินไป ก็บ่นไป แต่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง ได้พบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา นางจึงสอบถาม ทราบว่า มาจากเมืองสาวัตถี จึงถามถึงบิดามารดาของตน ที่อยู่ในเมืองนั้น ชายคนนั้นตอบว่า:-
“น้องหญิงเมื่อคืนนี้ เกิดลมพายุและฝนตกอย่างหนัก เศรษฐีสองสามีภรรยาและลูกชาย อีกคนหนึ่ง ถูกปราสาทของตน พังล้มทับตายพร้อมกันทั้งครอบครัว เธอจงมองดูควันไฟ ที่เห็นอยู่ โน่น ประชาชนร่วมกัน ทำการเผาทั้ง ๓ พ่อ แม่ และลูกบนเชิงตะกอนเดียวกัน”
นางปฏาจารา พอชายคนนั้นกล่าวจบลงแล้ว ก็ขาดสิตสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัวล้มสลบลงไปตรงนั้นเอง
พอฟื้นคืนขึ้น ผ้านุ่งผ้าห่มที่นางสวมใส่อยู่หลุดลุ่ยลงไปกองอยู่กับพื้นดิน นางเดินเปลือยกายเป็นคนวิกลจริต ร้องไห้บ่นพร่ำรำพัน ซัดเซ คร่ำครวญว่า:-
“บุตรสองคนของเราตายแล้ว สามีของเราก็ตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายของ เราก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกันไปแล้ว”
นางเดินไปบ่นไปอย่างนี้ คนทั่วไปเห็นแล้วพากันบริภาษว่า “นางเป็นบ้า” พากันขว้างปาด้วย ก้อนดินบ้าง โรยฝุ่นลงบนศีรษะนางบ้าง และนางยังคงเดินต่อเรื่อยไป อย่างไร้จุดหมายปลายทาง
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ ช่างน่าเวทนาในบุพกรรมของนางเสียจริงๆ
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–