ท่านไม่กลัวว่าหมู่สงฆ์จะแตกแยกหรือ
๘ มิถุนายน ๒๕๕๙
นี่คือคำถามของนายชยพล รองผอ.สำนักพุทธ เมื่อครั้งมาพบฉันที่วัดก่อนจะเดินทางกลับ
ท่านไม่กลัวหรือ พวกธรรมกายมีทั้งเงิน ทั้งพวกพ้องและบริวารไปทั่วโลก
เหล่านี้คือคำถามและข้อกังวลของเจ้าคณะปกครองบางรูปที่ถามฉันด้วยความกังวล
พุทธะอิสระตอบพวกเขาไปว่า ต่อให้ประเทศนี้กลายเป็นประเทศธรรมกายกันทั้งประเทศ ผมก็จะสู้
เพราะผมรู้ว่าสิ่งที่ผมต่อสู้ด้วยนั้น คือลัทธิกินรวบประเทศไทย กินรวบศาสนา และย่ำยีพระธรรมวินัย
หากวันนี้ผมไม่ออกมาสู้
ผมก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าลูกไทยหลานไทยยังจะรู้จักชาติไทยและพระธรรมวินัยที่บริสุทธิ์บริบูรณ์อีกหรือไม่
โคตรเง้าบรรพบุรุษผมเป็นคนไทย มีเลือดเนื้อของชนชาติเชื้อไทย
หากผมจะนั่งรอให้เผ่าพันธุ์ลัทธิกินรวบประเทศไทย กินรวบพระธรรมวินัย
ทำอะไรตามอำเภอใจ โดยไม่สนต่อหลักนิติรัฐนิติธรรม ไม่สนใจพระธรรมวินัย
แล้วผมยังจะเป็นลูกไทยหลานไทย คนไทย พระไทยอยู่อีกกระนั้นหรือ
ท่านเจ้าคุณพูดต่อว่า ท่านเป็นพระท่านจะไปยุ่งอะไรกับเขา
ก็เพราะทุกคนพูดอย่างนี้แหละพระเดชพระคุณ
และนักบวชทุกคนพูดอย่างนี้แหละ
ลัทธิธรรมกายมันถึงได้แผ่อิทธิพลจนครอบงำสังฆมณฑลและแผ่นดินไทยกันอยู่ทุกวันนี้ไงล่ะครับ
เมื่อ ๑๗ ปีที่แล้ว หากทุกคนไม่ทอดธุระ คิดว่าธุระไม่ใช่
วันนี้จะมีอลัชชีย่ำยีพระธรรมวินัยอยู่อย่างนี้หรือ
หากเมื่อ ๑๗ ปีที่แล้วภิกษุสงฆ์ผู้มีอำนาจหน้าที่ทางการปกครองได้ทำหน้าที่ปกป้องดำรงรักษาพระธรรมวินัยอย่างซื่อตรง
มีรัฐบาลที่ซื่อตรงต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรมอย่างแท้จริง
วันนี้เราจะมีคนที่แอบอ้างอาศัยพระธรรมวินัยและธรรมเนียมปฏิบัติของพระพุทธศาสนามาเป็นเครื่องมือหากินได้อยู่เช่นนี้หรือ
และถ้าเมื่อ ๑๗ ปีที่แล้ว ทั้งอาณาจักรและศาสนจักรได้ทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อตรง วันนี้พุทธะอิสระจะต้องออกมาต่อสู้เป็นศัตรูกับลัทธิกินรวบประเทศไทยอยู่เช่นนี้หรือ
ท่านเจ้าคุณเจ้าคณะปกครองถามพุทธะอิสระต่อว่า
แล้วท่านไม่ห่วงภาพพจน์ที่ชาวบ้านเขามองท่านดอกหรือ
ผมไม่ได้บวชเข้ามาเพื่อรักษาภาพพจน์
แต่บวชเข้ามาเพื่อปฏิบัติและรักษาพระธรรมวินัย
หากภาพพจน์ผมดี แต่แผ่นดินล่มสลาย พระธรรมวินัยเสียหาย ผมสู้ตายดีกว่า
วันนี้เรามีรัฐบาลที่มุ่งมั่น พยายามจะดำรงรักษาระบบนิติรัฐนิติธรรม
แต่ฝ่ายศาสนจักรกลับละเลย เพิกเฉย ไม่สนใจว่าพระธรรมวินัยจะถูกย่ำยีอย่างไร ไม่สนใจว่ากฎหมายระเบียบวินัยของสังคมว่าอย่างไร แต่พยายามรักษาพวกพ้องเอาไว้แม้มันจะเน่าในอย่างที่เห็นๆ กันอยู่
นี่ตะหากเล่าคือต้นตอของปัญหา
ดังพระสูตรที่ปรากฏในทารุขันธสูตรความว่า
ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคาใกล้กับเมืองกิมมิลา
ทรงเห็นท่อนไม้ใหญ่ลอยมา
ทรงตรัสเรียกให้ภิกษุทั้งหลายได้ดู
พร้อมทรงอธิบายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากท่อนไม้ใหญ่นั้นไม่เกยตื้น ณ ริมฝั่งข้างใดข้างหนึ่ง ย่อมไหลลงสู่มหาสมุทรได้ฉันนั้น
ขณะนั้นพระกิมมิละภิกขุ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
อะไรชื่อว่าฝั่งนี้ฝั่งโน้นพระเจ้าข้า
ดูก่อนกิมมิละ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ต้องอาบัติชั่วหยาบ
เป็นผู้เศร้าหมองต้องอาบัติ
แล้วไม่ยอมทำคืนอาบัตินั้น
เช่นนี้ชื่อว่า ภิกษุนั้นติดอยู่กับฝั่งนี้ฝั่งโน้น
เรากล่าวว่าภิกษุนั้นคือ ผู้เน่าใน
พุทธะอิสระ