พิลารโกสิยชาดก ว่าด้วย ให้ทานไม่ได้เพราะเหตุ 2 อย่าง (ตอนที่ 2)

0
27

พิลารโกสิยชาดก ว่าด้วย ให้ทานไม่ได้เพราะเหตุ ๒ อย่าง (ตอนที่ ๒)
๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๗

ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ ปัญจสิขเทพบุตรได้กล่าวธรรมกถาแก่เศรษฐีว่า
แม้ผู้ใดเที่ยวไปขออาหารมาด้วยความสุจริต ผู้นั้นชื่อว่าประพฤติธรรม อนึ่ง บุคคลผู้เลี้ยงบุตรและภรรยาของตนอยู่แต่ภัตมีน้อย ก็สามารถเฉลี่ยให้แก่สมณะ ชี พราหมณ์ได้ โดยไม่ตระหนี่บุคคลผู้นั้นชื่อว่าประพฤติธรรม

ประโยชน์อันใดที่คนตั้งแสนจะฆ่าสัตว์เพื่อนำมาบูชาแก่คนผู้ควรบูชาจำนวนพัน ผลบุญที่ได้ย่อมไม่ถึงแม้เสี้ยวแห่งผลทานของคนเข็ญใจที่มีใจแบ่งปันภัตที่มิได้มาจากการฆ่าสัตว์นั้นโดยเมตตา

ลำดับนั้น เศรษฐีได้กำหนดฟังถ้อยคำของปัญจสิขเทพบุตรแล้ว

เศรษฐีจึงถามถึงเหตุแห่งการบูชาอย่างไรจึงไร้ผล กะปัญจสิขเทพบุตรนั้น

ปัญจสิขเทพบุตรจึงกล่าวคาถาที่ ๙ ว่า :-

แม้ใครๆ จะบอกว่าการบูชายัญนี้ไพบูลย์มีค่ามาก แต่ก็ยังไม่เท่าค่าแห่งผลทานที่บุคคลให้โดยชอบด้วยเมตตาธรรม ไฉนอิสรภาพนับด้วยแสนของผู้ที่บูชายัญมากมายหลายพันนั้น จึงไม่เท่าแม้ส่วนเสี้ยวแห่งผลทานของคนเข็ญใจผู้ให้ไทยธรรมด้วยเมตตาที่เกิดโดยชอบธรรม

ลำดับนั้น ปัญจสิขเทพบุตรจึงได้กล่าวแก่เศรษฐีนั้น ด้วยคาถาสุดท้ายว่า

เพราะว่า คนบางพวกตั้งอยู่ในกายกรรมเป็นต้นอันไม่เสมอกัน ทำสัตว์ให้ลำบากบ้าง ฆ่าให้ตายบ้าง ทำให้เศร้าโศกบ้าง แล้วจึงให้ทาน ทักขิณาทานนั้น มีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา พร้อมทั้งความตายของหมู่สัตว์ที่นำมาให้ทาน จึงได้ผลไม่เท่า แม้เศษเสี้ยวหนึ่งของผลทานที่บุคคลให้แล้วโดยชอบธรรม ที่ไม่ทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง

เพราะอย่างนี้ อิสรภาพนับด้วยแสนของผู้ที่บูชามากมายหลายพันเหล่านั้น จึงไม่เท่าแม้เศษเสี้ยวแห่งผลทานของคนเข็ญใจผู้ให้ไทยธรรมโดยสุจริตชอบธรรม

เศรษฐีนั้นฟังธรรมกถาของปัญจสิขเทพบุตรแล้ว กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นมาเถิดท่านจงเข้าไปนั่งในเรือน ซึ่งอาจจะได้ภัตตาหารหน่อยหนึ่ง ปัญจสิขเทพบุตรจึงได้เข้าไปนั่งบนอาสนะใกล้ๆ กับพราหมณ์เหล่านั้น

ลำดับนั้น พิลารโกสิยเศรษฐีเรียกทาสีคนหนึ่งมา แล้วสั่งว่า เจ้าจงให้ข้าวลีบ (ข้าวเปลือกที่เขาตวัดแล้วกระเด็นออกจากกระดง ด้วยเพราะมีเมล็ดข้าวลีบ จึงเบาเมื่อถูกลมพัดด้วยการตวัดจึงกระเด็นออกจากกระดง) แก่พราหมณ์เหล่านี้คนละทะนาน นางทาสีถือทะนานข้าวเปลือกเข้าไปหาพราหมณ์แล้ว กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเอาข้าวเปลือกเหล่านี้ไปหุงกินกันเอาเองเถิด ณ ที่ใดที่หนึ่ง

พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวว่า พวกเราไม่ต้องการข้าวเปลือก พวกเราไม่จับต้องข้าวเปลือก นางทาสีบอกเศรษฐีว่า ได้ยินว่าพราหมณ์ทั้งหลายไม่จับต้องข้าวเปลือก เศรษฐีกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงให้ข้าวสารแก่พราหมณ์เหล่านั้น

นางทาสีได้ถือเอาข้าวสารไปให้พวกพราหมณ์แล้วกล่าวว่า ท่านพราหมณ์ทั้งหลาย ขอพวกท่านจงรับเอาข้าวสารไปเถิด พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวว่า พวกเราไม่รับของดิบ

นางทาสีจึงกลับมาบอกเศรษฐีว่า ข้าแต่นาย ได้ยินว่าพราหมณ์ทั้งหลายไม่รับของดิบ เศรษฐีกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงคดข้าวสำหรับโคกิน (หรือร่ำละเอียดผสมปลายข้าว) ใส่กะโหลก (กะลามะพร้าว) ไปให้แก่พวกพราหมณ์เหล่านั้น

นางทาสีได้จึงคดข้าวที่สุกแล้วสำหรับโคกินใส่กะโหลกไปให้พราหมณ์เหล่านั้น พราหมณ์ทั้ง ๕ จึงทำอุบายแล้วปั้นข้าวเป็นคำๆ ใส่ปาก แล้วทำกิริยาดุจดังข้าวติดคอแล้วกลอกตา อ้าปาก ส่งเสียงร้องอึกอักไปมา แล้วล้มตัวลงนอนทำเป็นตายหมดความรู้สึก

ทาสีเห็นดังนั้นคิดว่า พราหมณ์เหล่านี้ถูกเราทำให้ตายเสียแล้ว จึงกลัวไปบอกเศรษฐีว่า ข้าแต่นาย พราหมณ์เหล่านั้นไม่อาจจะกลืนข้าวสำหรับโคลงคอได้ ข้าวนั้นได้ติดคอตายหมดแล้ว.

เศรษฐีนั้นจึงคิดว่า คราวนี้คนทั้งหลายจักติเตียนเราว่า เศรษฐีนี้มีใจชั่ว ให้นางทาสีให้ข้าวสำหรับโคแก่พวกพราหมณ์ผู้เป็นสุขุมาลชาติ พวกพราหมณ์เหล่านั้นไม่อาจกลืนข้าวที่โคกินลงคอได้จึงติดคอตายหมด

ลำดับนั้น เศรษฐีจึงกล่าวกะทาสีด้วยอาการลนลานหวาดกลัวว่า เจ้าจงรีบไปเอาข้าวสำหรับโคในกะโหลกเหล่านั้นไปทิ้งเสีย แล้วจงคดข้าวสาลีที่มีรสอันโอชารสไปวางไว้ตรงหน้าพวกพราหมณ์เหล่านั้นให้ครบหมดทุกคนใหม่

นางได้กระทำตามนั้นแล้ว

เศรษฐีออกไปจากเรือนของตน แล้วเที่ยวโพทนาว่า เราให้ทาสีนำอาหารตามที่เราเคยบริโภคไปให้พวกพราหมณ์เหล่านี้ พราหมณ์เหล่านี้มีความละโมบบริโภคคำใหญ่ๆ จึงติดคอตาย ท่านทั้งหลายจงรู้ว่าเราไม่มีความผิด แล้วเศรษฐีจึงได้ไปแจ้งเจ้าพนักงานให้ได้ทราบ

เมื่อเจ้าพนักงานและมหาชนมาประชุมกันด้วยข่าวการตายของหมู่พราหมณ์แล้ว พราหมณ์ทั้งหลายจึงกลับพลิกฟื้นลุกขึ้นแลดูมหาชนแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงมาดูเศรษฐีผู้นี้กล่าวเท็จ
เศรษฐีกล่าวว่าได้ให้ข้าวสำหรับตนบริโภคแก่พวกเรา ความจริงเศรษฐีได้ให้ข้าวสำหรับโคกิน ซึ่งมีแต่รำปนปลายข้าว แก่พวกเรากินก่อน เมื่อพวกเราทำเป็นนอนตาย จึงให้ทาสีไปคดข้าวอันโอชารสนี้มาตั้งไว้ให้ แล้วนำกะโหลกใส่รำกับปลายข้าวไปทิ้งเสีย พวกพราหมณ์กล่าวดังนี้แล้วจึงคายข้าวที่อมไว้ในปากลงบนพื้นดินแสดงแก่มหาชน

มหาชนเห็นดังนั้นจึงพากันติเตียนเศรษฐีว่า แน่ะคนอันธพาลเจ้าทำวงศ์ตระกูลของตนให้พินาศเสียแล้ว ให้เผาโรงทาน ให้ทุบตีขับไล่พวกยาจกที่มาขออาหาร บัดนี้ เมื่อจะให้ข้าวแก่พวกพราหมณ์ผู้เป็นสุขุมาลชาติเหล่านี้ กลับเอาข้าวสำหรับโคกินมาให้ เบื้องหน้าเมื่อเจ้าตายลงจะไปปรโลก แล้วเจ้าจะเอาสมบัติในเรือนของเจ้าผูกคอไปด้วยได้กระนั้นหรือ

ขณะนั้น ท้าวสักกะถามมหาชนว่า ท่านทั้งหลายรู้ไหมว่า ทรัพย์ในเรือนนี้เป็นของใคร

มหาชนตอบว่า ไม่รู้

ท้าวสักกะถามว่า พวกท่านเคยได้ยินไหมว่าครั้งกระโน้น ในตระกูลนี้มีมหาเศรษฐี สร้างโรงทานแล้วบำเพ็ญทานเป็นการใหญ่จนตลอดชีวิต

มหาชนตอบว่า ถูกแล้ว พวกเราเคยได้ยินมา

ท้าวสักกะกล่าวว่า เราคือเศรษฐีคนนั้น ครั้นให้ทานแล้วตายไปได้เกิดเป็นท้าวสักกเทวราช

แม้บุตรของเราก็มิได้ทำลายวงศ์ตระกูลแห่งกุศลทานให้ขาดสูญ ได้ให้ทานสืบต่อมาแล้วเกิดเป็นจันทเทพบุตร

บุตรของจันทเทพบุตรเกิดเป็นสุริยเทพบุตร

บุตรของสุริยเทพบุตรเกิดเป็นมาตลีเทพบุตร

บุตรของมาตลีเทพบุตรเกิดเป็นคนธรรพ์เทพบุตรชื่อปัญจสิขะ

ท้าวสักกะเทวราชตรัสเช่นนี้แล้ว จึงได้จำแลงจากร่างพราหมณ์กลับไปเป็นมหาเทพเหมือนเดิม แม้เทพองค์อื่นๆ ก็เช่นกัน พร้อมทั้งได้ตรัสแนะนำให้มหาชนทั้งหลายได้รู้จักนามของเทพแต่ละองค์ว่า

บรรดาเทพบุตรเหล่านั้น ผู้นี้คือจันทเทพบุตร ผู้นี้คือสุริยเทพบุตร ผู้นี้คือมาตลีสังคาหกเทพบุตร ผู้นี้คือคนธรรพ์เทพบุตรชื่อปัญจสิขะ ผู้เป็นบิดาของเศรษฐีผู้มีใจลามกนี้ กุศลทานที่มีคุณมากอย่างนี้ บัณฑิตควรทำแท้

ขณะกำลังกล่าวอยู่ เพื่อจะตัดความสงสัยของมหาชน เทพบุตรทั้งหลายจึงเหาะไปในอากาศ ยืนเปล่งรัศมีกายงามรุ่งเรืองอยู่ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ พระนครพาราณสีขณะนั้นทั้งสิ้นได้สว่างไสวรุ่งเรืองดูน่าอัศจรรย์ยิ่ง

ท้าวสักกะตรัสแก่มหาชนว่า พวกเราละทิพยสมบัติของตนมาก็เพราะพิลารโกสิยเศรษฐีผู้มีใจลามก ผู้สืบสกุลวงศ์คนสุดท้ายของพวกเรา เศรษฐีใจลามกคนนี้ทำลายวงศ์ตระกูลของตนโดยสั่งให้เผาโรงทาน ให้ทุบตีทำร้ายพวกยาจกขับไล่ไป ตัดวงศ์กุศลทานของพวกเราเสีย เขาไม่ให้ทานไม่รักษาศีล เมื่อเขาแตกกาย ตายลง จะพึงเกิดในนรก พวกเรามาเพื่ออนุเคราะห์ญาติเศรษฐีของเราผู้นี้

เมื่อจะทรงประกาศคุณแห่งทาน ได้แสดงธรรมแก่มหาชนโดยสอนให้ตั้งมั่นอยู่ในการให้ทาน รักษาศีล

แม้พิลารโกสิยเศรษฐีก็ได้ประคองอัญชลีขึ้นเหนือเศียร ให้ปฏิญญาแก่ท้าวสักกะว่า

ข้าแต่พระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ข้าพระองค์จักไม่ทำลายวงศ์ตระกูลกุศลทานที่มีมาแต่โบราณ จักบำเพ็ญทาน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้ายังไม่ได้ให้อาหารที่ได้มา แม้ที่สุดจนน้ำและไม้ชำระฟันแก่ผู้อื่นก่อน ข้าพระองค์จักไม่บริโภคอาหารและน้ำใดๆ เลย

ท้าวสักกะทรงทรมานเศรษฐีนั้นทำให้หมดพยศ ให้ตั้งอยู่ในศีล ๕ แล้วพาเทพบุตรทั้ง ๔ ไปสู่วิมานของตนๆ

แม้เศรษฐีนั้นได้บริจาคทาน รักษาศีล ดำรงอยู่ตลอดชีวิตแล้ว เมื่อตายลงก็ได้ไปเกิดในดาวดึงส์พิภพ.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนภิกษุนี้ไม่มีศรัทธา ไม่ให้ทานแก่ใครๆ แต่เราได้ทรมานเธอให้รู้จักผลทานดังที่กล่าวมา แม้เกิดในภพต่อๆ มาก็ยังละจิตคิดจะให้ทานนั้นไม่ได้

แล้วทรงประชุมชาดกว่า

เศรษฐีในครั้งนั้น ได้มาเป็น ภิกษุผู้เป็นทานบดีรูปนี้ ในบัดนี้

จันทเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระสารีบุตร ในบัดนี้

สุริยเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระโมคคัลลานะ ในบัดนี้

มาตลีเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระกัสสปะ ในบัดนี้

ปัญจสิขเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์ ในบัดนี้

ส่วนท้าวสักกเทวราชได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

จบแล้วจ้า วงศ์วานของพระโพธิสัตว์ล้วนเป็นผู้ร่วมบำเพ็ญบารมีอันดีมาแล้วได้มาเกิดร่วมกันในแต่ละภพแต่ละชาติ ด้วยอำนาจของบุญกุศลที่ตนได้ร่วมกันบำเพ็ญมา ทำให้สำเร็จประโยชน์สูงสุดของชีวิตมนุษย์ในที่สุด

เจริญธรรม

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/photo/?fbid=888900973102173&set=a.107732901218988