สามเณรโสปากะ (ตอนที่ ๓)
๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๖
ตอนที่แล้วจบลงตรงที่
สามเณรโสปากะอรหันต์สามารถตอบปัญหาพยากรณอุปสัมปทา ๑๐ ข้อ แก่พระบรมศาสดาที่ทรงตรัสถามแก่สามเณรโสปากะ
พระบรมศาสดาจึงทรงชื่นชมโสมนัสยินดีถึงขนาดทรงตรัสสรรเสริญสามเณรโสปากะว่า เป็นผู้มีสัพพัญญุตญาณเสมอด้วยพระองค์
แล้วจึงทรงอนุญาตให้สามเณรโสปากะได้บวชเป็นพระภิกษุขณะที่มีอายุได้ ๗ ขวบ เหตุเพราะท่านได้บรรลุพระอรหันต์ขีณาสพแล้ว
และหวังว่า ท่านทั้งหลายคงได้อ่านศึกษา เรียนรู้ถึงคำตอบของสามเณรโสปากะอย่างละเอียดรอบคอบ แจ่มแจ้ง ขึ้นใจ เอาไว้ใช้ทั้งชาตินี้และชาติหน้า
แม้จะไม่กระจ่างแจ่มแจ้งนัก แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่รู้อะไรเลย
กาลต่อมาพระพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่านรชน เป็นบุรุษอุดม เสด็จจงกรมอยู่ที่ร่มเงาหลังพระคันธกุฎี พระโสปากะจึงเข้าไปเฝ้าถวายบังคม ณ ที่นั้น เราห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมมือเดินตามพระพุทธองค์ผู้ปราศจากกิเลสธุลี ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง
ลำดับนั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสถามปัญหา
เมื่อพระโสปากะเถระได้วิสัชนาปัญหาแล้ว พระตถาคตทรงอนุโมทนา ทรงทอดพระเนตรหมู่ภิกษุแล้ว ได้ตรัสยกย่องพระโสปากะเถระต่อหน้าภิกษุทั้งหลาย มีความว่า…
“โสปากภิกษุนี้บริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยของชาวอังคะและชาวมคธเหล่าใด ก็เป็นลาภของชาวอังคะและชาวมคธเหล่านั้น
อีกทั้งยังเป็นลาภของชาวอังคะและชาวมคธที่ได้ต้อนรับและทำสามีจิกรรม แก่โสปากภิกษุ
ดูก่อน โสปากะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้เธอเข้ามาหาเราได้ตามที่เธอปรารถนา
เมื่อท่านพระโสปากะเป็นพระเถระแล้ว ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาบริวารมาก เมื่อพระภิกษุผู้เป็นลูกศิษย์ทั้งหลาย ผู้ประกอบในโสสานิกังคะธุดงค์(การอยู่ป่าช้าเป็นวัตร) ท่านได้อบรมศิษย์ให้เจริญเมตตาธรรม แผ่เมตตาโดยไม่มีประมาณ จึงกล่าวเป็นพระคาถาว่า…
“ภิกษุประกอบด้วยอัชฌาสัยแสวงหาประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง พึงแผ่เมตตาจิตให้เสมอในสัตว์ทั้งปวง กระทำอาการให้เหมือนด้วยมารดาบิดามีความเมตตาในบุตร ธรรมดาบิดามารดาทั้งหลาย ที่มีบุตรผู้เดียวเป็นที่รักที่เจริญใจ พึงแสวงหาความเกษมสุข สวัสดิภาพ และประโยชน์คุณความดีให้แก่บุตรผู้เดียว อันเป็นที่รักใคร่นั้น โดยส่วนเดียวฉันใด
ภิกษุผู้มีอัชฌาสัยอันประกอบไปด้วยเมตตา แสวงหาประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายนั้น พึงแสวงหาประโยชน์อันเกื้อกูลคือ ความสุข และสวัสดิภาพให้เสมอไปในสรรพสัตว์ทั้งปวง อันตั้งอยู่ในทิศต่าง ๆ และอยู่ในภพต่าง ๆ และอยู่ในวัยต่าง ๆ โดยส่วนเดียวให้เสมอไปไม่เลือกหน้า อย่าได้จำกัดว่า ผู้นี้เป็นมิตร ผู้นี้เป็นศัตรู พึงเจริญเมตตาจิตให้เสมอเป็นอันเดียว”
เมื่อพระเถระกล่าวพระคาถาดังนี้แล้วจึงให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ท่านทั้งปวงจงเจริญ ประกอบด้วยเมตตาภาวนาอย่างต่อเนื่อง เมตตานี้มีอานิสงส์ ๑๑ ประการดังนี้ คือ
๑. หลับเป็นสุข
๒. ตื่นเป็นสุข
๓. ไม่ฝันร้าย
๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
๖. เทวดาย่อมรักษา
๗. ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ไม่ล่วงเกิน
๘. จิตได้สมาธิเร็ว
๙. สีหน้าผ่องใส
๑๐. ไม่หลงตาย
๑๑. เมื่อยังไม่บรรลุธรรม ย่อมเข้าถึงพรหมโลกชั้นสูง
องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสเทศนา เพื่อยังให้หมู่สัตว์พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง ท่านทั้งหลายจะพึงเป็นผู้ประกอบด้วยเมตตาอันมีอานิสงส์ ๑๑ ประการ นั้นเถิด
ท่านพระโสปากเถระเจ้า เมื่อมีอายุสังขารจนครบอายุขัย ท่านก็ดับวิบากขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุดับสิ้นเชิง หาตัณหาและอุปาทาน ซึ่งจะเป็นเชื้อเหลืออยู่มิได้ เป็นอนุปัตถินิโรธ ไม่บังเกิดอีกในภพเบื้องหน้า ดุจเปลวประทีปอันสิ้นไส้และดับไป
อันเนื่องการแผ่เมตตาที่พระสุปากเถระสอนศิษย์ให้รู้จักการแผ่เมตตาเมื่อจะเข้าไปธุดงค์อยู่ในป่าช้า และด้วยอานิสงค์การแผ่เมตตานั้น และด้วยเพราะท่านเจริญในเมตตาธรรมเป็นกรรมฐาน เวลามีเหตุเภทภัยที่เกิดแก่ชีวิต ท่านก็จักสามารถหลุดพ้นจากเภทภัยนั้นๆ มาได้อย่างน่าอัศจรรย์
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ อย่าลืมเจริญคาถามหาเมตตาเทพรัญจวนกันให้ได้ทุกๆ วันนะจ๊ะ
พุทธะอิสระ
——————————————–