ถามมา ตอบไป
๑๔ เมษายน ๒๕๖๖
วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๖ เจ้าต้มกับเจ้าพงษ์เข้ามากราบ นั่งสนทนาในเรื่องสัพเพเหระและเรื่องพระเครื่อง ที่ขายอยู่ในเพจ
อยู่ๆ เจ้าต้มก็ตั้งคำถามขึ้นมาว่า
พุทธคุณ ความขลัง ที่มีอยู่ในพระแต่ละองค์จักมีวันเสื่อมไหม ?
ฉันจึงตอบมันไปว่า เสื่อมก็มี ไม่เสื่อมก็มี แต่ยังมิได้อธิบายเพราะมันยาว วันนี้เลยนำมาตอบเป็นวิทยาทานแก่ท่านทั้งหลาย
ที่ว่าเสื่อมก็มี นั้นหมายถึง ผู้สร้าง ผู้ปลุกเสก ผู้อธิฐานจิตทั้งยังเป็นปุถุชนนั้นแรกๆ ก็อาจจะดูเข้มแข็ง มีพลัง แต่ต่อไป ต่อไป เวลายาวนานเข้า ก็จะค่อยๆ เสื่อมลงไป
แม้จะอ้างยกเอาพระพุทธคุณ ธรรมคุณ พระสังฆคุณมาเป็นที่ตั้งแล้วก็ตาม
แต่สุดท้ายผู้ที่ปลุกเสก ผู้ที่อธิฐานจิต ผู้ที่จัดสร้างหากยังเป็นปุถุชน ยังมิได้เป็นอริยชน
ดุจดังถ้วยน้ำชาที่มิอาจจะรองรับแม่น้ำทั้งมหาสมุทรได้ ฉันใด
ปุถุชนที่ยังมิได้เป็นอริยชนก็ฉันนั้น
มิอาจรองรับพลัง อานุภาพของพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ มหาศาล กว้างใหญ่ สุดประมาณได้ ฉันนั้น
สุดท้ายก็เป็นได้แค่น้ำ ๑ ถ้วยชา อันน้อยนิด มันก็มีวันหมดไปได้อยู่ดี ในเวลาไม่นานนัก
ที่ว่าไม่เสื่อมก็มี คือ หากผู้สร้าง ผู้ปลุกเสก ผู้อธิฐานจิตเป็นอริยชน ตั้งแต่ขั้นพระโสดา สกิทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์ อันมีอุปมาดังแอ่งลึกที่รองรับแม่น้ำหรือมหาสมุทรอันไพศาล ขนาดใหญ่ก็จะสามารถ รองรับ กักเก็บพลังอานุภาพแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และบวกกับอานุภาพแห่งจิตของผู้สร้าง ผู้ปลุกเสก ผู้อธิฐาน เองก็บริสุทธิ์บริบูรณ์อันมากมายไพศาล
และที่ไม่เสื่อมอีกจำพวกหนึ่ง คือ อานุภาพจิตของท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ในธรรมคุณที่ไม่มีวันเสื่อม จะอยู่ยั้งยืนยงทราบเท่าคำอธิฐานของท่านผู้นั้น ยังมีต่อเนื่องยาวนานจนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ คือ โพธิญาณ
ด้วยอานุภาพแห่งโพธิญาณ ที่แม้แต่จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานตัวน้อยๆ ก็ยังมากมายไปด้วยอานุภาพแห่งโพธิคุณ โพธิธรรม เช่น พญานกคุ้ม ที่สามารถอธิบานห้ามไฟป่า ที่ล้อมเข้ามามิให้เข้ามาทำร้ายตนได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ในอดีตสมัยเมื่อพระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงเสวยพระชาติเป็น พญานกคุ้มโพธิสัตว์ ครั้นเมื่อออกจากฟองไข่ ก็ได้อาศัยอยู่ในป่า แคว้นมคธ วันหนึ่งพ่อและแม่พญานกคุ้มพากันออกไปหาอาหาร ปล่อยให้ลูกนกคุ้มอยู่ในรังตามลำพัง ขณะนั้นได้บังเกิดไฟป่า ปรากฏขึ้นมาจากทิศทั้ง ๔ รอบรังของลูกนกคุ้ม อยู่ห่างจากรัง ๑๖ กรีส (หนึ่งกิโลครึ่ง) ขณะนั้นลูกนกคุ้ม ได้รู้ตัวว่าตนตกอยู่ในวงรอบของไฟป่า จึงเหลียวหาบิดามารดา ก็ไม่เห็นลูกนกคุ้มจึงคิดว่า โดยปกติธรรมดาสัตว์ เมื่อตัวลูกมีภัยก็ต้องอาศัยพึ่งพิงพ่อแม่ แต่บัดนี้พ่อแม่เรามิได้อยู่เสียแล้ว เราคงจะต้องพึ่งพิงอิงอาศัยตัวเอง ลูกนกคุ้มนั้นจึงตั้งสัจจะวาจาว่า
…..” คุณของศีลเรามีอยู่ คุณของธรรมเรามีอยู่ คุณของสัจจะวาจานี้เราก็มีอยู่จริง ปีกทั้งสองข้างเรามีอยู่ แต่ยังบินไม่ได้ เท้าเราทั้งสองข้างมีอยู่ แต่ยังเดินไม่ได้ บิดามารดาทั้งสองเรามีอยู่ แต่บัดนี้มิได้อยู่กับเรานี้เป็นสัจจะวาจาของเรา ไฟป่าที่ไม่มีชีวิตเอ๋ย ด้วยเดชแห่งสัจจะวาจานี้ ขอไฟป่าจงดับไป “
…..ครั้นเมื่อสิ้นสัจจะอธิษฐานของลูกนกคุ้ม ไฟป่าที่ไหม้มาทั้ง ๔ ทิศ ก็ดับลงโดยพลัน ดุจดังบุคคลถือคบเพลิงที่มีเพลิงลุก แล้วจุ่มลงในน้ำฉะนั้น ไฟนั้นก็พลันดับไปในทันที องค์สมเด็จพระชินศรีจึงทรงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า แต่บัดนั้นจวบจนถึงกาลนี้ ไฟป่าก็มิอาจเผาไหม้เข้ามาถึงเขตที่พญานกคุ้มอธิฐานจิตนี้ได้อีกเลย ซึ่งมีอาณาเขตโดยรอบ ๑๖ กรีส (โดยประมาณ ๑ กิโลครึ่ง)
นี่คือตัวอย่างของอานุภาพจิตของพระโพธิสัตว์ ที่ไม่มีวันเสื่อมจนกว่าจะได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า
อานุภาพแห่งจิตตานุภาพของพระโพธิสัตว์เจ้า จักเสื่อมลงได้เมื่อใด
ก็ต่อเมื่อสิ้นสุดอายุขัยของพระศาสดาที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และสั่งสอนดีแล้วนั่นเอง
พุทธะอิสระ
——————————————–