เขยสหรัฐ ตั้งคำถามว่า คนรู้จักเข้าไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งอยู่เป็นประจำ พอกลับบ้านกลายเป็นว่า พ่อแม่ไม่มีอยู่จริง พี่น้องไม่มีอยู่จริง วงศาคณาญาติไม่มีอยู่จริง
พอได้ยินเขยฝรั่งพูดเช่นนี้ ทำให้นึกไปถึง สมัยที่อยู่ในถ้ำไก่หล่น ตำบลหนองพลับ อ.หัวหิน ก็มีครูคนหนึ่งได้ไปปฏิบัติธรรมจากสำนักโด่งดังแห่งหนึ่งเป็นเวลา ๑๐ วัน
พอกลับมาปรากฏว่า คุยกับลูกกับผัวกันคนละภาษา กลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอน เอาแต่นั่งโยกเยก โอนเอนตัวไปมา ปากก็พร่ำบ่น ภาษาแปลกๆ ที่แปลไม่ได้
หนักเข้าจนถึงขนาดเดินถอดเสื้อผ้า พร้อมตะโกนว่า ข้าหลุดพ้นแล้ว ข้าบรรลุแล้ว
ผัวกับเพื่อนต้องช่วยกันจับใส่เสื้อผ้า หามส่งโรงพยาบาลประสาท
ต่อมาอาการไม่ดีขึ้น ผัวจึงชวนขึ้นรถพามาให้ฉันช่วยดู เพื่อรักษา
กว่าสติจะกลับคืนมา ก็ใช้เวลาร่วมเดือน
๒ กรณีนี้ทำให้นึกถึงข้อห้ามที่พระบรมศาสดาทรงห้ามมิให้ผู้หวังความเจริญเข้าไปเกี่ยวข้อง คือ ทิฏฺฐิ ๒ อย่าง ได้แก่
สัสสตทิฏฐิ (การเห็นว่าเที่ยง) เป็นลัทธิความเห็นที่มีมาก่อนสมัยพุทธกาล โดยเห็นว่าอัตตาหรือตัวตนเป็นสิ่งเที่ยงแท้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ขาดสูญ แม้ตายแล้วก็เพียงร่างกายเท่านั้นที่สลายหรือตายไป แต่สิ่งที่เรียกว่าอาตมันหรืออัตตา ชีวะ เจตภูติ ยังเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย ไม่มีวันสูญ จะไปถือเอาปฏิสนธิในกำเนิดของภพอื่นต่อไป
อุจเฉททิฏฐิ (การเห็นว่าขาดสูญ) คือความเห็นที่ว่าสัตว์โลกทั้งปวงเมื่อตายหรือละจากอัตภาพนี้ไปแล้วก็เป็นอันขาดสูญไม่มีอะไรที่จะไปเกิดหรือไปปฏิสนธิในภพอื่นอีก สิ่งที่เรียกว่าอาตมัน หรืออัตตา ชีวะ เจตภูติ ก็สูญไปเช่นเดียวกัน เรียกว่าขาดสูญไปทั้งหมดไม่มีอะไรเหลือให้ไปเกิดในสุคติหรือทุคติอีก
มีผลกระทบต่อผู้เห็นตามนั้น คือทำให้เป็นคนประมาทขาดสติ เห็นแก่ตัว ปฏิเสธบุญบาป ปฏิเสธนรกสวรรค์ ทำอะไรโดยไม่กลัวบาปกรรม มุ่งแต่หาความสุขในกามรมณ์ เบียดเบียนแก่งแย่งกันและกัน รบราฆ่าฟันกันเพื่อความเป็นใหญ่ ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าก่อนที่จะตายไป
และท้ายสุดเป็นมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด ไม่สอดคล้องกับทำนองคลองธรรม และสภาพแห่งความเป็นจริง
ทั้งยังเป็นความเห็นที่ขัดขวางการพัฒนาการของจิต มิให้ลุถึงซึ่งมรรคผลนิพานอีกต่างหาก
การที่ผู้ปฏิบัติเห็นทุกอย่างว่า ขาดสูญ ทั้งที่อยู่ในโลกสมมุติ แต่กลับปฏิเสธสมมุติ โดยที่ตัวเองก็มีปัญญาแค่หางอึ่ง
เช่นนี้ถือว่า หลงทาง หลงผิด เห็นผิด เพราะเรียนรู้ศึกษาปฏิบัติมาอย่างผิดๆ
อย่าลืมว่า แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดา บนดาวดึงส์ เทวโลก อยู่ตั้งสามเดือน
แล้วคนที่เรียนรู้ข้อปฏิบัติมาแค่กระพี้ จะมาตู่ว่าพ่อแม่ไม่มีอยู่จริง ญาติพี่น้องไม่มีความหมาย แบบนี้มันวิปริตชัดๆ
พุทธะอิสระ
————————————————–
A story originated from Clubhouse.
April 11, 2021
A son-in-law of American raised a question he knows someone who regularly practices Dhamma at a temple. After returning home, he thinks that his parents, his siblings, and his relatives do not exist.
When I heard the son-in-law of American said that I recalled the time when I stayed at Kai Lon Cave in Nongplub Subdistrict, Hua Hin District, a teacher practiced Dhamma at a famous temple for ten days.
After returning home, she spoke to her children and her husband in another language. At night, she could not sleep but swayed back and forth while sitting.
Her kept murmuring weird language that people could not figure out.
It got worse that she took off her clothes, walked naked, and yelled that “I have achieved enlightenment. I have attained enlightenment.”
Her husband and her friends had to get her dressed and took her to a psychiatric hospital.
Later, her symptoms still did not improve. Her husband brought her to me and asked me to help treat her.
It took almost a month until she regained her consciousness.
These two cases made me recall Lord Buddha’s prohibition for those who wish to be developed, namely two kinds of views as follows.
View of permanence: this doctrine originated before Buddhist era. This doctrine believes that ego or self is permanent, remains unchanged, and does not disappear. After death, only body get dissolved or dead, but soul or self is eternal, never disappears, and is reborn in next life.
View of disappearance: this doctrine believes that when worldly creatures die or leave this world, there will not be any reincarnation. What is called soul or self is gone. Nothing is left to be reborn in heaven or hell.
This view would have impact on followers of this doctrine. So, it can make them lose their consciousness, become selfish, deny merits and sins, deny existence of hell and heaven, do anything without guilt, seek worldly pleasures, exploit others and compete for worldly achievements and kill others for power so that they can indulge in worldly pleasures before their death.
It finally results in mistaken notion which is not in line with morality and truth.
These views also hinder mind from attaining nirvana.
If practician sees that everything is non-existent. Even though they live in hypothetical world but refuse hypothetical beings, while they have a brain of pigeon.
As such, it means they are lost, misled, and have misconceived ideas, because they have learned and practiced in the wrong way.
Don’t forget. Even the Lord Buddha went to the second heaven where Indra dwells, to teach his mother for three months.
How can someone, who has learned little Dhamma practice, claims that parents do not really exist, or relatives and siblings are meaningless? This is obviously eccentric.
Buddha Isara