วันเสาร์ที่ ๑๗ ธันวาคม เวลาตี ๕ ลูกจะต้องเดินทางออกจากวัดเพื่อไปทำอาหารเลี้ยงประชาชนคนของพ่อ ณ ท้องสนามหลวง ที่เต็นท์เบอร์ ๙
ซึ่งโดยปกติเวลาลูกอยู่วัดและไม่มีภารกิจต้องไปท้องสนามหลวง ลูกก็จะต้องตื่นตอนตี ๓ ถึงตี ๓ ครึ่งทุกวันอยู่แล้ว ทำภารกิจและศาสนกิจเสร็จเรียบร้อยก็ตอนตี ๕ ร่างกายเข้าสู่กระบวนการขับถ่าย
แต่ตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม จนถึงวันนี้เป็นเวลา ๖๔ วัน เวลาที่ลูกจะต้องขับถ่ายกลายเป็นเวลาที่จะต้องนั่งรถอยู่บนถนน พอถึงสนามหลวงลงจากรถมองเห็นประชาชนคนของพ่อมายืนออรออาหารเต็มหน้าเต็นท์และหลังเต็นท์ รวมทั้งเต็นท์ ค-ง ที่ลูกรับผิดชอบ
แม้ลูกอยากจะเข้าห้องน้ำเพื่อถ่าย แต่ก็เกรงว่าจะเสียเวลา เพราะต้องทำอาหารมือเช้ามื้อแรกซึ่งต่อจากทีมกาแฟ โอวัลติน คุกกี้ แซนวิช ของทีมจองพระ นำโดยยัยเหน่ง
เพราะฉะนั้นลูกมีเวลาทำอาหารหลักมื้อแรกแค่ ๑ ชั่วโมง จึงไม่สามารถจะปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำได้ กว่าจะทำเสร็จและอาหารไม่ขาดแคลน ผู้คนเบาบาง ก็ปาเข้าไป ๒-๓ โมงเย็น บางวันก็ทุ่ม
ด้วยพฤติกรรมเหล่านี้ ทำให้กากอาหารที่ลูกฉันเข้าไปตกค้างจนกลายเป็นพิษ ลำไส้บวมโต อีกทั้งในช่วงเวลาแต่ละวันลูกก็ไม่ค่อยได้ฉันน้ำ เพราะไม่มีเวลาจะคิดถึง แม้จะอึดอัดร่างกาย แต่พอมองเห็นพี่น้องประชาชนคนของพ่อได้ยืนกินอาหารหน้าเต็นท์กันอย่างมีความสุข เอร็ดอร่อย อิ่มหนำสำราญ ลูกก็พลอยมีความสุขและอิ่มอกอิ่มใจไปด้วย
สถานการณ์เป็นไปอย่างนี้มาถึง ๖๔ วัน จนถึงวันนี้ หลังเวลาเที่ยง หัวใจของลูกดูเหมือนแทบจะกระโดดออกมาจากอก มันแน่นและจุกสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง สลักหลัง ปากชา หน้าชา และอ่อนเพลีย มือไม้อ่อนแรง
ลูกจึงคิดว่าคงได้เวลาแล้วที่จะต้องลาพ่อกลับวัดซักวันหนึ่ง เพื่อมาดูแลรักษาสุขภาพ จึงสั่งให้คนโทรไปนัดหมอกรกตให้น้ำเกลือกับยาแก้อักเสบมาให้ที่กุฏิในวัด
พอลูกลงจากรถก็รีบเข้าห้องน้ำ รวบรวมพลังกายทั้งหมดที่มีเพื่อจะขับถ่ายกากอาหารที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ที่บวมเปล่ง
แต่ดูมันช่างแสนยากเย็นทุกข์ทรมานร่างกายเสียเหลือเกิน แม้จะพยายามรักษาจิตไม่ให้กระเพื่อม และเดินลม ๗ ฐานเข้าสู่ท้องน้อย แต่สุดท้ายก็ต้องพึ่งน้ำสบู่อยู่ดี
ลูกจึงสั่งให้สามเณรเดินไปขอสลิงค์มา ๑ อัน จากโรงงานพฤกชเวช อโรคยาคลินิก แล้วผสมน้ำสบู่ ใช้สลิงค์ดูดและฉีดเข้าไปในทวารหนัก ลำไส้ใหญ่ แล้วก็รวบรวมลม ๗ ฐาน พลังลมภายในลำไส้ กำหนดจิตเคลื่อนธาตุดินและธาตุลม
ธาตุดินคือลำไส้ให้บีบรัด ธาตุลมคือลมที่ดันอยู่ในลำไส้ ให้เบ่งขับถ่ายกากอาหารที่บัดนี้กลายเป็นหัวพรรดึกที่โบราณเขาเรียก คือมันแข็งมากๆ กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาไป ๑ ชั่วโมงเศษๆ และแล้วลูกก็สามารถขับถ่ายกากอาหารที่ตกค้างทั้งหมดได้
ขณะเดียวกันก็ทำให้ลูกเสียธาตุไฟและธาตุลมภายในร่างกายไปไม่ใช่น้อย ด้วยความสะเพร่าก็คิดว่านัดหมอไว้ ๕ โมง นี่ก็ใกล้เวลาจะ ๕ โมง จึงรีบสรงน้ำล้างตัวที่หมักหมมไปด้วยกลิ่นอาหาร เหงื่อไคล
แทนที่เหตุการณ์มันจะสดชื่นแจ่มใส ปรากฏว่าชีพจรของลูกลดลงวูบวาบ นับได้ ๑๕ ครั้งต่อนาที ร่างกายกล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็ง อ่อนแรง และมีอาการหนาวสะท้านเข้าไปถึงไขกระดูก นี่คืออาการของผู้ที่สูญเสียธาตุลมและไฟอย่างฉับพลัน ร่างกายของลูกสั่นเฟิ้ม หนาวสั่น หวุดหวิดจะชัก
ลูกจึงรีบเช็ดเนื้อตัว นุ่งสบง ใส่อังสะ รีบออกมาจากห้อง ให้เณรปูที่นอนแล้วใช้ผ้านวมของเจ้าทิมกับพี่ชายที่ทิ้งไว้ ๒ ผืนใหญ่และหนา คลุมห่มตัว แต่ก็ยังไม่หายหนาว ร่างกายและกล้ามเนื้อเย็นสนิท ชาไปหมด
ขณะที่เกิดอาการทางกาย ลูกก็พยายามรักษาใจไม่ให้กระเพื่อม คือมีสติสั่งการณ์แก้ปัญหา ให้เณรไปเอาผ้าจีวรมาห่มคลุมเพิ่มขึ้น แล้วบีบนวดที่จุดปลายเท้าและจุดกลางหลัง เพื่อให้เลือดลมกลับมาหมุนเวียนเดินได้สะดวก
ลูกเริ่มมีอาการเป็นไข้ตัวร้อน วิงเวียนศีรษะ ปวดหัว ปากขม มือไม้อ่อนแรง มีไอร้อนขึ้นตามร่างกาย เหงื่อซึมแผ่นหลังนิดๆ แต่ก็ยังหนาวอยู่
ที่ลูกให้เจ้าปี่เขียนบรรยายมาตามคำบอกเล่าของลูกเสียยืดยาวมากมายเห็นปานนี้ มิใช่ต้องการขอคะแนนสงสารหรือความเห็นใจจากใคร แต่นี่คือวิทยาการที่เกิดกับร่างกายและธาตุทั้ง ๔ จากประสบการณ์ตรง น่าจะเป็นความรู้และวิทยาทานให้กับผู้คนทั้งหลายได้เข้าใจถึงกระบวนการทำงานของธาตุทั้ง ๔ ภายในร่างกายให้แจ่มชัดมากขึ้น
ว่าธาตุดินจะขาดน้ำไม่ได้ เมื่อใดที่ธาตุดินขาดน้ำ กากอาหารก็จะแข็งตัว เพราะกากอาหารคือธาตุดิน เมื่อดินแห้ง ลมที่กำเนิดจากความชุ่มชื้นก็จะเบาบาง
ธาตุไฟคือกระบวรการเผาไหม้เศษอาหารหรือกากอาหารที่กินเข้าไปก็จะไม่ละเอียด ขับถ่ายยาก และลำไส้ขาดกระบวนการหล่อลื่นเพราะขาดธาตุน้ำ
ทั้งหมดมาจากสาเหตุที่ลูกฉันน้ำน้อยและพักผ่อนน้อยในแต่ละวัน ทำให้ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ในกายไม่สมดุล
อีกทั้งเพราะภารกิจจึงทำให้วิถีชีวิตของลูกเปลี่ยนไป ไม่มีวินัยในการกำจัดของเสียในร่างกาย จึงเป็นเหตุให้ลูกต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ทำภารกิจที่ลูกรับปากพ่อไว้บกพร่อง
พ่อจ๋า ลูกกราบขอขมา
พุทธะอิสระ