แม่จ๋า อย่าเป็นอะไรไปตอนนี้นะจ๊ะแม่ (ตอน ๒)

0
114

วันนี้ (๓๐ พ.ย.) ฉันต้องรีบเดินทางกลับวัดตั้งแต่ ๕ โมงเย็น เพราะต้องการกลับมาแวะโรงพยาบาลนครปฐมเพื่อเข้าไปเยี่ยมแม่

หลังจากเมื่อวานไปเยี่ยมแม่เห็นแม่ยังไม่ยอมนอน สอบถามคนเฝ้าดูแลเขารายงานว่า แม่ไม่ยอมนอน เพราะต้องการพบหน้าฉัน
พอฉันเข้าไปในห้องพยาบาล พอแม่รู้ก็รีบยกมือขึ้นมาจับมือฉันแล้วบีบ พร้อมจับมือฉันไว้แน่น พร้อมพูดว่าสบายใจแล้ว ท่านกลับมาแล้ว

ฉันบอกแม่ว่า ไม่ง่วงหรือ จะ ๒ ทุ่มแล้วนะ

แม่บอกว่า เห็นคนมากันมากมายเลยยังไม่ง่วง

ฉันจึงหันไปถามคนเฝ้าว่ามีใครมาเยี่ยมแม่มากหรือ

เขาตอบว่า ไม่มีนะครับ จะมีก็แต่พวกแม่ครัว ๒-๓ คนเท่านั้น

ฉันจึงถามแม่ว่า คนพวกนั้นที่แม่เห็นเขาไปแล้วหรือยัง

แม่บอกว่าตอนนี้ไม่เห็นแล้ว

ฉันจึงบอกแม่ว่า แสดงว่าคนพวกนั้นเขากลัวฉัน

ต่อไปนี้ถ้าแม่เห็นและพวกเขามากวนแม่อีก

แม่ก็จงเอ่ยชื่อฉันว่า พุทธะอิสระ

พอพวกเขาได้ยินชื่อฉันแล้วก็จะกลับไปเอง

แม่พอฟังแล้วก็ทำขมวดคิ้ว ทำปากจู๋ๆ เหมือนกับแสดงกิริยาล้อฉันเล่น ทำนองว่าไม่เชื่อ

ฉันเห็นแม่อารมณ์ดี แสดงกิริยาเหมือนกับล้อฉันเล่น ฉันก็สบายใจ จึงนวดหัวและนิ้วของแม่พร้อมบอกแม่ว่า

ดีแล้ว แม่นอนเถิด เดี๋ยวฉันจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าแม่จะหลับ

พอแม่ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ท่านจะอยู่จนกว่าโยมหลับจริงหรือ

ฉันตอบแม่ว่า จริงซิ จะอยู่จนกว่าแม่จะหลับ

แม่บอกว่าสบายใจแล้ว ชื่นใจจัง พร้อมทั้งจับมือฉันไปวางบนหน้าอกแล้วพยายามจะหลับตา

ฉันเห็นแม่หลับตายาก เลยเอื้อมอีกมือหนึ่งไปนวดหน้าผาก โหนกแก้ม ระหว่างคิ้ว กระบอกตา

แล้วแม่ก็หลับตาลงอย่างสงบ

ฉันนึกว่าแม่หลับแล้ว ฉันนั่งจ้องหน้าแม่อยู่ซักพักใหญ่ อยู่ๆ แม่ก็ลืมตาขึ้น แล้วยิ้มพร้อมพูดว่า “จ๊ะเอ๋”

ทำเอาฉันที่กำลังง่วงซึม อ่อนเพลีย และไข้กำลังขึ้น รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที

ฉันหัวเราะ ทุกคนในห้องก็หัวเราะ เพราะคิดไม่ถึงว่าแม่จะอารมณ์ดีขนาดนี้

แล้วแม่ก็พูดขึ้นว่า สบายใจแล้ว ท่านก็กลับไปพักผ่อนเถิด เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว

ฉันจึงถามแม่ว่า ไม่กลัวคนแปลกหน้าที่จะมาหาอีกแล้วหรือ
แม่บอกว่า ไม่กลัวแล้ว เพราะท่านมาแล้ว

ฉันจึงถามแม่ว่า ตกลงแม่จะยอมให้ฉันกลับไปพักจริงๆ หรือ แม่ไม่รู้สึกเหงาหรือ

แม่บอกว่า ไม่เหงาดอก มีพวกนี้มันอยู่กันหลายคน วันนี้สบายใจแล้ว นิมนต์ท่านไปพักเถิด โยมจะได้สบายใจ

เมื่อได้ฟังดังนั้น ฉันจึงบอกราตรีสวัสดิ์กับแม่ พร้อมบอกว่า พรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่

ทั้งที่วันนี้ฉันต้องรีบเดินทางออกมาจากท้องสนามหลวงตั้งแต่ ๕ โมง ด้วยความเป็นห่วง

แม่อย่างมาก พอมาถึงโรงพยาบาลเห็นแม่นั่งอยู่พร้อมมีสายน้ำเกลือที่แขน คุณหมอบอกว่า แม่เป็นโรคเส้นเลือดสมองตีบ จำเป็นจะต้องให้ยาร่วมกับน้ำเกลือ เพื่อให้ขยายหลอดเลือด คงจะต้องพักรักษาตัวอีกหลายวัน

ฉันจึงบอกหมอว่า ขอให้ตรวจสอบดูทุกระบบในร่างกายของแม่ เพื่อการรักษาอย่างถูกต้อง

แต่สิ่งหนึ่งที่ยังกังวลอยู่ในใจก็คือ ฉันจะต้องพยายามแบ่งเวลาให้แม่มากขึ้น และต้องแบ่งเวลาให้กับงานของพ่อด้วย ซึ่งโดยนิสัยของฉันเป็นคนที่ทำงานอะไรแล้วจะทุ่มเทมุ่งมั่น ทำงานสิ่งนั้นให้สำเร็จไม่ว่าจะเกิดปัญหาและอุปสรรคใดก็ตาม

แต่ในเวลานี้ปรากฏงานที่สำคัญยิ่งในชีวิต ที่ต้องให้ฉันทำถึงสามเรื่อง อีกทั้งสังขารของฉันในเวลานี้มันก็แทบจะยืนหยัดอยู่เกือบจะไม่ไหวแล้ว แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ฉันจะไม่ยอมให้งานของลูกที่พึงตอบแทนพระคุณต่อแม่ และงานของลูกไทย ที่ต้องตอบแทนพระคุณต่อพ่อของแผ่นดิน รวมทั้งงานของพุทธบุตรที่ต้องทำหน้าที่เป็นครูอาจารย์ชี้นำวิถีแห่งจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์แก่พระใหม่จำนวน ๑๒๒ รูป เณร ๒ รูป ต้องขาดตกบกพร่องโดยเด็ดขาด

ไม่ว่าร่างกายฉันมันจะประท้วงยังไง ฉันก็ต้องพยายามทำมันให้สำเร็จครบถ้วนให้ได้ ซึ่งงานของพุทธบุตรจะต้องลงมือกระทำหลังจากวันที่ ๕ ธันวาไปแล้ว จนกว่าพระเณรจะสึก ฉันจะต้องหาวิธีแบ่งเวลาที่จะทำให้เหมาะสม สำเร็จลุล่วง

นี่แหละคือสิ่งที่ฉันยังรู้สึกกังวลว่า จะแบ่งเวลายังไงให้ทุกอย่างที่ทำไม่สะดุดและสำเร็จโดยพร้อมเพียงกัน

พุทธะอิสระ