๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
วันนี้ (๒๕ พ.ย.) ได้พักนอนนานหน่อยคือ ๔ ชั่วโมงครึ่ง มาตื่นเอาตอนตี ๕
เพราะ ๖ โมงเช้าของวันนี้จะต้องออกจากวัดเดินทางไปที่ศาลอาญาเพื่อขึ้นศาลเบิกความคดีอุกเขปนียกกรรมเถื่อนของพวกลิ่วล้อธรรมกาย
โดยมีเจ้าคุณประสารและนายเมธาพันธ์เป็นจำเลยที่ ๑ และที่ ๒
พระอธิการฉัตรชัยและปลัดนรุตม์ชัย เป็นจำเลยที่ ๓ ที่ ๔
ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๙, ๓๒๐, ๓๒๘, ๘๐, ๘๓, ๘๘, ๙๑
และละเมิดกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๒๑ ว่าด้วยกฎนิคหกรรมข้อ ๑-๖๕
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๕ ตรี ๑๕ จัตวา และมาตรา ๒๕
ซึ่งจำเลยทั้ง ๔ และพวกได้ลุแก่อำนาจ อาศัยว่าตนมีพวกมาก บังอาจละเมิดต่อพระธรรมวินัยและบทบัญญัติของกฎหมายและแบบธรรมเนียมในการปกครองคณะสงฆ์ที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติให้ใช้มาอย่างยาวนานกว่า ๒ พันปี
ด้วยการประกาศลงอุกเขปนียกรรมเถื่อนทั้งที่ไม่มีอำนาจ ไม่มีสิทธิ์ที่จะกระทำได้
เพราะการลงอุกเขปนียกรรม คือการตัดสิทธิของภิกษุผู้ไม่ยอมรับอาบัติ
ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ให้ทำเฉพาะพระภิกษุผู้อยู่ร่วมกันในอาวาสเดียวกันเท่านั้น
การประกาศลงอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุรูปใด องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติพิธีเอาไว้ดังในเรื่องที่มีมาแล้วในอดีตว่า
ภิกษุทั้งหลายเห็นพระฉันนะเป็นผู้ไม่ยอมรับอาบัติ จึงแสดงความรังเกลียดกล่าวโจทก์ติเตียนขึ้นในท่ามกลางสงฆ์
องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงให้เรียกประชุมสงฆ์แล้วทรงสอบถามเรื่องราวจากพระฉันนะ เมื่อทรงทราบความจริง แล้วจึงทรงติเตียนพระฉันนะเป็นอันมาก พร้อมทรงแนะนำให้คณะสงฆ์ประกาศลงอุกเขปนียกรรม คือการตัดสิทธิภิกษุผู้เก้อยาก หน้าด้าน ไม่ยอมรับอาบัติ
ด้วยการประกาศตัดสิทธิอันพึงได้ของภิกษุนั้น จนกว่าจะเปลี่ยนแปลงนิสัยแก้ไขพฤติกรรม
วิธีทำก็คือให้สงฆ์ในอาวาสนั้นๆ เรียกประชุมสงฆ์ เมื่อมีผู้กล่าวโจทก์ภิกษุด้วยอาบัติ
แล้วไต่สวนสอบถามแก่ภิกษุนั้นว่าเป็นความจริงหรือไม่ จะยินยอมรับอาบัตินั้นหรือไม่ ต่อหน้าผู้เป็นโจทก์
หากภิกษุนั้นสำนึกผิด ยินยอมรับว่าเป็นจริง ภิกษุทั้งหลายจึงประกาศให้อาบัตินั้นแก่เธอตามคำของผู้โจทก์
แต่ถ้าหากภิกษุนั้นดื้อด้านไม่ยอมรับอาบัติ เป็นผู้มีพฤติกรรมดื้อด้าน ว่ายากสอนยาก ไม่ยินยอมรับอาบัติทั้งที่มีพยานหลักฐานชัดเจน
องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำให้คณะสงฆ์เลือกภิกษุรูปหนึ่งผู้มีสติปัญญา สามารถสวดประกาศการกระทำความผิดของภิกษุผู้ดื้อด้าน ไม่ละอาย ว่ายากสอนยาก ผู้ไม่ยอมรับอาบัตินั้นให้หมู่คณะสงฆ์ได้ทราบ
แล้วประกาศตัดสิทธิอันพึงได้ของภิกษุนั้นจนกว่าจะเปลี่ยนแปลงนิสัยแก้ไขพฤติกรรมได้ คณะสงฆ์ทั้งหลายถ้าเห็นสมควร ก็เปล่งวาจาสาธุ แต่ถ้าไม่เห็นสมควร ก็จงทักท้วงขึ้นในท่ามกลางระหว่างสงฆ์
การประกาศสาธยายความผิดนี้ต้องประกาศถึง ๔ ครั้ง เรียกการประกาศหรือสวดนั้นว่า “ญัตติจตุตถกรรมวาจา”
ทั้งยังทรงห้ามมิให้ลงทัณฑ์หรือตัดสิทธิเกินเลยกว่าความผิดที่ภิกษุนั้นกระทำด้วย
สรุปรวมความว่าการลงอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ไม่ยอมรับอาบัติที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อ เป็นภิกษุที่อยู่ในวัดเดียวกัน
แต่ผู้โจทก์อาจไม่จำเป็นที่จะอยู่วัดเดียวกันก็ได้ ผู้โจทก์ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระหรืออาจเป็นฆราวาสก็ได้ แต่จะต้องมากล่าวโจทก์บอกอาบัติต่อหน้าภิกษุผู้ถูกโจทก์หรือผู้ต้องอาบัติ
และต้องบอกต่อหน้าหมู่สงฆ์ในอาวาสนั้นๆ ให้รับรู้ เพื่อจะได้ดำเนินการชำระคดีต่อไป
เมื่อคณะสงฆ์ในอาวาสนั้นๆ รับรู้แล้ว จะต้องเรียกประชุมสงฆ์ผู้ถูกโจทก์พร้อมหน้าผู้โจทก์แล้วสอบถามไต่สวน จักทำลับหลังผู้ถูกโจทก์มิได้
จักไม่ไต่สวนและประกาศลงอุกเขปนียกรรมเลยก็ทำไม่ได้
จักกระทำเกินเลยจากความผิดจริงที่ปรากฏตามหลักฐานก็ไม่ได้
และจักกระทำโดยสงฆ์หมู่อื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในอาวาสเดียวกันก็ไม่ได้
และหากฝืนขืนกระทำ ก็เท่ากับไม่เคารพยอมรับพระวินัยบัญญัติของพระพุทธเจ้า
ไม่ยอมรับอำนาจของคณะสงฆ์ในอาวาสนั้นๆ
ถือว่าเป็นการกระทำการโดยจิตที่ไม่ได้หวังดีเอ็นดู เพียงแต่ต้องการให้เกิดความเสียหายกับผู้ถูกลงทัณฑ์เท่านั้น
องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนว่าไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย
พุทธะอิสระ