ป่า กับ พระภิกษุ แยกกันไม่ได้

0
143

พระพุทธเจ้า เมื่อครั้งเป็นพระราชกุมารสิทธัตถะ มหาโพธิสัตว์ ก็ทรงประสูติ (เกิด) ในป่าสวนลุมพินีวัน

เมื่อทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ (ออกบวช) ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา และทรงตรัสรู้ ภายใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ (ต้นพระศรีมหาโพธิ์) ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา

ภายหลังทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขในสัปดาห์ที่ ๕ ภายใต้ร่มเงาของต้นอปชาลนิโครธ (ต้นไทร) ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของต้นพระศรีมหาโพธิ เป็นเวลา ๗ วัน

ครั้งทรงแสดงปฐมเทศนา (การแสดงธรรมครั้งแรก) ก็ทรงแสดงที่ บริเวณป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน

พระสูตรสำคัญๆ เช่น ธัมมจักกัปปวัตนสูตร และ อนัตตลักขณสูตร ล้วนทรงแสดงในป่าอิสิปตนะมฤคทายวันทั้งนั้น

แม้เมื่อครั้งจะทรงปรินิพพาน ก็ทรงปรินิพพานภายใต้ร่มไม้สาละ ณ สาลวโนทยานหรือสวนป่าไม้สาละของมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา

ภิกษุผู้ทรงธรรม ทรงวินัย เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ล้วนบรรลุธรรมในป่าใกล้น้ำ ซึ่งมีมาตั้งแต่ในอดีต จวบจนปัจจุบัน

เช่นนี้ จึงเรียกได้ว่า พระพุทธศาสนา กับ น้ำและป่า จึงมิอาจแยกจากกันได้มาแต่เดิม

พระภิกษุผู้ใคร่ศึกษา ในศีล สมาธิ ปัญญา จึงรู้สึกผูกพันกับน้ำและป่า ดุจดังผู้มีคุณ

ฉะนั้นการที่ภิกษุรูปหนึ่งมองเห็น ผู้มีคุณ สถานที่และสิ่งแวดล้อมที่เคยมีอุปการคุณ ต่อการบำเพ็ญพรต ต้องมาถูกเผา ถูกตัดโค่นทำลาย ถูกย่ำยี ย่อมรู้สึกว่าหัวใจแทบสลาย

แม้จะรู้ว่า นี้เป็นเพียงแค่สมมติ

แต่ก็เป็นสมมติ ที่มีคุณต่อพระพุทธศาสนา และสรรพสัตว์ทั้งโลก

การที่ภิกษุรูปหนึ่ง เพียรพยายามจะอนุรักษ์ รักษาฟื้นฟูป่าต้นน้ำลำธารที่เสื่อมโทรม ให้กลับฟื้นคืนสภาพขึ้นมา

ถือว่าเป็นความเลวร้าย ชั่วช้า กระนั้นหรือ

หรือในฤดูร้อนที่ผ่านมา คนและสัตว์ รวมทั้งสื่อ ยังทุกข์ร้อน ขาดแคลนน้ำกันไม่พอ

ถามจริงเถิด พวกที่ด่าว่าฉัน เรื่องเข้าไปปลูกป่า ในเขตป่าสงวนที่เสื่อมโทรมนั้น

ชั่วชีวิตของพวกคุณ เคยได้ปลูกป่า ปลูกต้นไม้ให้กับแผ่นดินนี้มาคนละกี่ต้น

เคยรักษาต้นน้ำลำธาร และขุดลอกคูคลอง มาคนละกี่เมตร

หากพวกคุณด่าฉัน ด้วยมูลความจริง ฉันจะไม่รู้สึกอะไร

แต่ทั้งที่พวกคุณทุกคนในแผ่นดินนี้ ต่างล้วนได้ประโยชน์จากสิ่งที่ฉันทำ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

แต่กลับนำความเท็จ มากล่าวหาใส่ร้าย

เช่น กล่าวหาว่า พุทธะอิสระ เข้าไปยึดครอบครองพื้นที่ป่า เข้าไปปลูกสร้างอาหารมูลนิธิ และโรงงานยาสมุนไพร เข้าไปสร้างรีสอร์ทในพื้นที่ป่า

โดยเฉพาะ ไทยพีบีเอส ช่อง ๓ และ ดร.โสภณ พรโชคชัย เพียงเพื่อจะทำให้ฉันเสียหาย ตั้งใจจะทำลายชื่อเสียง โดยที่บิดเบือนข้อเท็จจริง

อย่างนี้ก็ต้องไปพิสูจน์กันในศาลว่าใครผิด ใครถูก

“การที่ข้าพเจ้า เตือนให้คนไทยรักษาป่า ไม่ใช่จะเห็นป่าสำคัญกว่าคน

แต่ให้รักษาป่าไว้สำหรับเก็บน้ำจืดไว้เพื่อคน เพราะน้ำมีความสำคัญต่อชีวิตของมนุษย์

ข้าพเจ้าจึงขอวิงวอนให้คนไทย ช่วยกันรักษาป่า ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเพียงแหล่งเดียว ของประเทศไทยไว้ให้ดี”

พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถ ที่ทรงพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่มาเฝ้าถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวโรกาศเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๗

ด้วยพระราชดำรัสนี้ พุทธะอิสระ จึงได้ขวนขวายดำเนินการปลูกป่าอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี ๓๗

และด้วยพระราชดำรัสของพระแม่แห่งแผ่นดิน

ลูกไทย หลานไทย ผู้มีหัวใจกตัญญูอย่างฉัน ก็มิอาจเอาแต่นั่งรับฟังเฉยๆ โดยไม่คิดจะทำอะไรเลย แล้วก็บ่นว่า ร้อน แล้ง ขาดแคลนน้ำ

พุทธะอิสระ พระภิกษุไทย ผู้มีหัวใจกตัญญูต่อแผ่นดินคนนี้ จึงได้ชักชวนผู้คนที่เขาตระหนักสำนึกในบุญคุณแผ่นดิน มาเสียสละแรงกาย แรงทรัพย์ ช่วยกันปลูกป่า ปลูกต้นไม้ ทำฝาย ขุดบ่อ ลอกคลอง เพื่อทดแทนบุญคุณของแผ่นดิน

หากการกระทำเช่นนี้ มันจะกลายเป็นความชั่วร้ายผิดบาป

หากฉันละเมิดกฎหมาย ฉันก็ขอน้อมยอมรับผิดชอบในทุกกรณี

จะได้ไม่ต้องไปเดือดร้อน แก่ผู้ที่เขามีส่วนร่วมสนับสนุนช่วยเหลือ

และหากต้องมีการขึ้นศาล ฉันจะไม่ซัดทอดผู้ใดทั้งสิ้น

พร้อมทั้งขอเรียกร้อง ให้ใช้กรณีของฉันเป็นบรรทัดฐานในการตรวจสอบ ตรวจยึดคืน พื้นที่ป่า ทั่วประเทศ ที่มีนายทุน ข้าราชการ พระภิกษุสงฆ์ และชาวบ้านเข้าไปบุกรุก อย่างผิดกฎหมาย

อีกทั้ง ฉันยืนยันให้กรมป่าไม้ กรุณาเร่งรีบ ดำเนินคดีต่อฉัน ทั้งทางแพ่งและอาญา

หากพิสูจน์ได้ว่า ฉันผิดจริง ก็พร้อมที่จะถอดจีวร นอนคุก

แต่ถ้า ไม่ผิด ก็ขอได้กรุณาให้โอกาสฉัน ได้ทำหน้าที่ของภิกษุไทย ปลูกต้นไม้ในป่าเสื่อมโทรมต่อไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่

พุทธะอิสระ

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)