ต่อไปนี้หากเห็นใครโกหก ทุกคนควรพูดว่า อ่าวนี่มันพวกธรรมกายนี่หว่า
๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙
เมื่อวานนี้เวลาบ่าย ๒ โมงครึ่ง ขณะที่ฉันกำลังจะปั้นพระให้แม่ หูได้ยินเสียงสัญญาณระฆังเรียกประชุม
ฉันจึงถามเด็กๆ ว่าพระเขาเรียกประชุมอะไร
ได้รับรายงานว่าเจ้าอาวาสเรียกและคณะสงฆ์ทั้งวัดลงประชุมกันที่ศาลาเพื่อรอรับหนังสือร้องเรียนของนายประสิทธิ์ สันจิตร ผู้ที่อ้างว่าเป็นทนายความ เป็นประธานเครือข่ายพิทักษ์พุทธ
ที่มาเมื่อวานนี้(๒๙ พ.ย.) เขามายื่นหนังสือให้เจ้าอาวาสแต่ไม่ได้พบ แล้วเขานัดหมายมากับมหาหยกว่าจะเข้ามายื่นหนังสือใหม่ในวันนี้(๓๐ พ.ย.) เวลาบ่าย ๒ โมงเป็นต้นไป
ฉันจึงเดินกลับไปที่กุฏิเพื่อหยิบจีวรมาห่มแล้วเดินเข้าศาลาเพื่อร่วมประชุมตามระเบียบคณะสงฆ์
ไปถึงเห็นผู้คนและนักข่าวรออยู่ในศาลา มากหน้าหลายตา
เห็นสจ.หมีและพี่น้องชาวแจ้งวัฒนะมากันมากหน้าหลายคน
เมื่อเดินเข้าสู่ศาลาก็มีบรรดาช่างภาพนักข่าวเฝ้ารอทำข่าว
ฉันเดินไปนั่งเรียงลำดับตามอายุพรรษา (๑๕ พรรษา)
แล้วกราบพระพุทธ กราบหมู่สงฆ์ จึงนั่งรอ
ในขณะที่รออยู่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เลยนั่งเข่าพนมมือ นมัสการพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ ขอโอกาสคณะสงฆ์เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
โดยการกราบถวายรายงานมูลเหตุแห่งการถูกโจทก์ให้คณะสงฆ์ได้ทราบเพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาเบื้องต้น จะได้ไม่เป็นการเสียเวลาต่อการสอบสวนดำเนินคดี
ฉันใด้แจ้งแสดงพฤติกรรมของตนต่อหมู่สงฆ์ว่า
วันที่ข้าได้ไปเป็นแกนนำเวทีแจ้งวัฒนะ เพราะมูลเหตุมาจากไม่สามารถทนเห็นลัทธิกินรวบประเทศไทย ซึ่งมีทั้งพรรคการเมือง นักการเมือง ร่วมมือกับลัทธิอลัชชีชั่วที่มีพฤติกรรมกินรวบประเทศไทย ย่ำยีพระธรรมวินัย ทำร้ายแผ่นดิน
ข้าจึงออกไปเป็นแกนนำเวทีเพื่อต่อสู้กับคนชั่วพวกนี้
ในขณะที่ข้าและพวกไปตั้งเวทีหน้าตึกดีเอสไอปรากฏว่า
ไม่มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไออยู่ในอาคารแล้ว มีแต่รั้วเหล็กและยามเฝ้าอยู่โดยรอบอาคารประมาณยี่สิบกว่าคนทั้งวันทั้งคืน
ข้าได้สอบถามแก่เจ้าหน้าที่ที่เฝ้ารอบอาคารเขาตอบว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอทุกคนได้ย้ายออกไปจากตัวอาคารก่อนหน้านี้ ๒ วันแล้ว
จะมีก็แต่เจ้าหน้าที่เวรเข้าเวรภายในตัวอาคารเด็ดขาด
อีกทั้งในขณะตั้งเวที พวกยามเฝ้าอาคารก็เดินมากินอาหารจากโรงครัวของเวทีทุกมื้อ มิหนำซ้ำยังห่อกลับไปกินที่บ้านอีก เรื่องนี้เป็นที่รับรู้กันทั่ว
แม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศาลและสำนักงานอัยการก็เดินมากินข้าวที่เวที
ต่อมาดีเอสไอ โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ได้มีการฟ้องร้องกล่าวโทษข้าและพวกว่าเป็นผู้ทำให้ทรัพย์สินภายในอาคารและนอกอาคารเสียหาย
โดยได้ไปยื่นเรื่องให้อัยการสั่งฟ้องต่อศาลแพ่ง
ข้าได้แถลงต่อศาลในวันเบิกความว่า ข้ายินดีจะชดใช้ค่าเสียหายตามจริงที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมของข้าและพวกในกรณี
เพราะทรัพย์สินของทางราชการแม้แต่ต้นไม้ ใบหญ้า ล้วนมาจากเงินภาษีของประชาชน
หากการชุมนุมของพวกข้าทำให้เกิดความเสียหาย ข้าก็พร้อมจะชดใช้โดยไม่อุทธรณ์ใดๆ
แม้ในเวลาต่อมาแกนนำเวทีอื่นๆ ที่เขาเป็นผู้ร่วมในคดีนี้จะคัดค้านและจะอุทธรณ์คำสั่ง
ข้าได้บอกกับเขาว่าพวกคุณเป็นฆราวาส ก็มีสิทธิในการอุทธรณ์ได้ตามกระบวนการของกฎหมาย
แต่ฉันเป็นพระภิกษุ ความเสียหายหากเกิดขึ้นจริงและมาจากสาเหตุของการที่ฉันไปชุมนุม ความเสียหายเหล่านั้นฉันก็ควรจักรับผิดชอบ มิอาจปฏิเสธได้
แม้ฉันไม่เคยรู้เคยเห็นว่ามีอะไรเสียหายบ้าง แต่เมื่อมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากดีเอสไอ นั่นก็แสดงว่ามันเสียหายจริงจากเหตุการณ์ชุมนุม
หากฉันปฏิเสธและยื่นอุทธรณ์ตามสิทธิของกฎหมายก็ย่อมทำได้ แต่มันละอายใจทั้งยังรู้สึกไม่สบายใจที่เราไม่มีความรับผิดชอบ จะเป็นผลทางพระวินัยอีกด้วย
เมื่อข้ายินยอมชดใช้ค่าเสียหายที่เวทีแจ้งวัฒนะทำให้เกิดขึ้น ซึ่งก็มีผู้ต้องหาที่ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายอยู่สองคน คือข้ากับพลตรีสมเกียรติ ในฐานะที่ข้าเป็นผู้นำเวที ข้าจึงต้องรับผิดชอบจ่ายค่าเสียหายแทนพลตรีสมเกียรติด้วย
โดยขอความเมตตาต่อศาลขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนๆ ละ ๕๐,๐๐๐ บาท ยอดเงินที่ต้องชดใช้จำนวน๘๙๙,๒๐๓ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความไว้ ๑๐,๐๐๐ บาท เวลานี้ได้ผ่อนไป ๔ เดือนแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้หยิบยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวโทษข้า ทางพระวินัยด้วยข้อกล่าวหาว่าข้าเป็นปาราชิก ตามสิกขาบทที่ ๒ ภิกษุมีเจตนาลักทรัพย์มีราคาเกิน ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก
เพราะข้ากำลังต่อสู้กับลัทธิธรรมกายผู้เป็นอลัชชี เขาจึงส่งคนของเขามากล่าวหาแก่ข้าอย่างเลื่อนลอย
ที่ข้ากล่าวเลื่อนลอยก็เพราะมีบัญญัติองค์แห่งอาบัติเอาไว้ ๕ อย่างได้แก่
๑. ทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน
๒. มีความสำคัญว่าทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน
๓. ทรัพย์มีค่ามากได้ราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก
๔. ไถยจิตปรากฏขึ้น (เจตนา)
๕. ภิกษุลูบคลำจับต้องทรัพย์ที่ตนต้องการ ต้องอาบัติทุกกฏ ทำให้ไหวต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องอาบัติปาราชิก ๑
ตามคำพิพากษาของศาลที่สั่งให้ข้าและพวกต้องชดใช้ นั้น คือ
๑.ความรับผิดในค่าอาหารและค่าเครื่องดื่มของเจ้าหน้าที่และพนักงานที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษจำนวน ๑,๒๑๗,๘๕๐ บาท ในช่วงระหว่างวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ อันเป็นวันที่คณะรักษาความสงบได้เข้าปกครองประเทศ ศาลแพ่งได้โปรดวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า เป็นจำนวนที่สูงเกินส่วน สมควรกำหนดให้ ๗๐๐,๐๐๐ บาท ,
๒.ค่าเช่าพื้นที่อาคารซอฟท์แวร์ปาร์ค ของ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่าย เพื่อการปฎิบัติงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ช่วงระหว่างวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวันย้ายระบบกลับจำนวน ๒๕๙,๘๘๑.๖๐ บาท ทั้งนี้ ผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษเบิกความต่อศาลแพ่งไว้ว่า เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ มีกลุ่มผู้ชุมนุมบุกรุกเข้ายึดอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตัดไฟ และไม่ให้เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าทำงาน แต่ศาลแพ่งได้โปรดวินิจฉัยว่า ข้าฯพระพุทธะอิสระได้นำมวลชนไปตั้งเวทีเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๗ เป็นต้นมา จึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้นับตั้งแต่วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่ยังไม่มีการคืนพื้นที่ เป็นเงินจำนวน ๑๙๙,๒๐๓ บาท
ค่าซ่อมอุปกรณ์ห้องควบคุมไฟฟ้าที่ถูกทำลาย ศาลแพ่งวินิจฉัยให้จำเลยอื่นเป็นผู้รับผิด เนื่องจากเหตุได้เกิดขึ้นก่อนที่ข้าฯจะไปตั้งเวที , ค่าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คยี่ห้อเดลและยี่ห้อคอมแพ็คและตราสัญลักษณ์ DSI ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษอ้างว่าสูญหายนั้น ศาลแพ่งได้โปรดวินิจฉัยยกฟ้องในส่วนนี้ , คอมพิวเตอร์ยี่ห้อเดลอีกตัวหนึ่งและกล้องวงจรปิดที่อ้างว่าสูญหายในวันที่จำเลยอื่นนำมวลชนเข้าไปในอาคาร แม้ไม่ปรากฎว่าจำเลยอื่นผู้นั้นเป็นผู้เอาไปหรือสั่งการให้ทำลายกล้องวงจรปิด แต่ก็ควรต้องรับผิดชอบในการนำมวลชนไปโดยขาดระเบียบวินัย แต่คดียังไม่ถึงที่สุด
ศาลแพ่งกำหนดให้ข้าฯรับผิดเพียงค่าอาหารและเครื่องดื่มของเจ้าหน้าที่และพนักงานรักษาความปลอดภัย กับ ค่าเช่าพื้นที่ติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายเท่านั้น ส่วนความเสียหายอื่นเกิดขึ้นก่อนข้าฯไปตั้งเวที จึงไม่จำต้องรับผิด (อ้างอิงคำพิพากษาศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ พ.๕๗๗/๒๕๕๙)
ข้าฯไม่สามารถเปิดเผยชื่อจำเลยอื่นได้ เนื่องจากจะเป็นการละเมิดอำนาจศาล แต่ในส่วนของข้าฯ ข้ามิได้อุทธรณ์คดีจึงเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับข้าฯ
จะเห็นว่าข้าไม่ได้เคยเห็นหรือไม่เคยจับต้อง หรือมีเจตนาที่จะลักในทรัพย์ของทางราชการให้ต้องเสียหายใดๆ เลย
อีกทั้งพระวินัยได้ทรงบัญญัติลักษณะของการถือเอาทรัพย์มีอยู่ด้วยกัน ๑๓ ชนิดอันได้แก่
๑. ลัก ได้แก่อาการถือเอาทรัพย์ให้เคลื่อนจากฐานที่ตั้ง ด้วยเจตนา
๒. ชิงหรือวิ่งราว ได้แก่อาการชิงเอาทรัพย์ที่เขาถืออยู่
๓. ลักต้อน ได้แก่กิริยาไล่ต้อนหรือจูงสัตว์ ๔ เท้า สัตว์ ๒ เท้า หรือสัตว์ไม่มีเท้า ให้เคลื่อนจากที่อยู่ที่เหยียบยืน
๔. แย่ง ได้แก่อาการเข้าแย่งทรัพย์ซึ่งหน้าจากมือเจ้าของทรัพย์หรือแย่งขณะที่เจ้าของทำทรัพย์นั้นตก
๕. ลักสับ ได้แก่การสับของดีให้เป็นของเลว ของมีราคามากให้เป็นของมีราคาน้อย แม้ที่สุดลักสับสลากรายชื่อของทรัพย์ ด้วยเจตนาต้องการทรัพย์นั้น
๖. ตู่ ได้แก่กิริยากล่าวตู่เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์ที่ไม่ใช่ของตน
๗. ฉ้อโกง ได้แก่กิริยารับของที่มีผู้มาฝากเอาไว้ แล้วฉ้อโกงเอามาเป็นของตน
๘. ยักยอก ได้แก่ภิกษุผู้มีหน้าที่รักษาคลัง ทำบัญชีหรือควบคุมทรัพย์ของวัด แล้วยักยอกทรัพย์นั้นมาเป็นของตน
๙. ตระบัด ได้แก่กิริยาที่นำของที่ต้องเสียภาษี เมื่อผ่านด่านเก็บภาษีก็ซุกซ่อนของนั้น ไม่ยอมเสียภาษี หรือของมากก็ซ่อนให้เห็นว่าเป็นของน้อย จะได้เสียภาษีน้อยๆ
๑๐. ปล้น ได้แก่การชักชวนกันทำโจรกรรม ลงมือด้วยตนเองบ้าง หรือมิได้ลงมือด้วยตนเอง แต่ตนมีส่วนร่วม เมื่อได้ทรัพย์นั้นมาสมเจตนา หากทรัพย์นั้นมีราคาเกิน ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิกทั้งกลุ่ม
๑๑. หลอกลวง ได้แก่การหลอกทำของปลอมต่างๆ
๑๒. กดขี่หรือกรรโชก ได้แก่การใช้กำลัง ใช้อำนาจ ข่มเหงเอาทรัพย์ของผู้อื่น ตัวอย่างเช่น ภิกษุเป็นเจ้าหน้าที่มีอำนาจการปกครองอยู่ในมือ แล้วใช้อำนาจนั้นข่มเหงเพื่อให้ได้ทรัพย์มา
๑๓. ลักซ่อน ได้แก่การเห็นทรัพย์ที่เจ้าของเขาทำตกหล่นไว้โดยไม่รู้ตัว ภิกษุนั้นพอเห็นจึงแกล้งเดินไปเอาเท้าเหยียบไว้ ยืนบังไว้ หรือใช้วัสดุอย่างหนึ่งอย่างใดปกปิดเอาไว้ ด้วยเจตนาจะถือเอามาเป็นของตน ต้องอาบัติเมื่อเจ้าของทรัพย์หาของไม่เจอ และทรัพย์นั้นได้ตกเป็นของภิกษุ
ท่านผู้มีปัญญาและมีใจเป็นธรรมลองพิจารณาดูทีซิว่า
พฤติกรรมของข้าที่ศาลพิพากษาให้ต้องชดใช้ค่าเสียหาย สามารถผนวกเข้ากับลักษณะการถือเอาทรัพย์ในข้อไหนบ้างใน ๑๓ ข้อ
บุคคลที่อ้างตนเองว่าเป็นทนายและเคยบวชเรียนมาจนได้นักธรรมเอกน่าจะต้องรู้ดีในข้อกฎหมายของการลักทรัพย์
มาตรา ๓๓๔ ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวม อยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท
แล้วพฤติกรรมของฉันที่ทนายประสิทธิ์ สันจิตร ลิ่วล้อลัทธิธรรมกายมากล่าวหามันเข้าหลักกฎหมายหรือหลักพระวินัยข้อไหนได้บ้าง
อวดอ้างว่าเป็นผู้รู้กฎหมายแต่กลับมาใช้ความรู้ผิดรู้ไม่จริงมากล่าวหาบุคคลอื่นให้เสียหายโดยเจตนาไม่สุจริต
เช่นนี้คงต้องจัดหนักจัดเต็มทั้งแพ่งและอาญา แล้วเอาให้เลิกทำอาชีพทนายไปได้เลย จักได้ไม่ต้องใช้อคติทุจริตมาใส่ร้ายผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายอีก
พุทธะอิสระ