โกหกต้องตกนรกนะจ๊ะ
๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๙
ศิษย์ธรรมกายชี้แจงกรณีDSIพบแช็คโอนเข้าวัดเพิ่ม400ล้าน
เมื่อเวลา 14.00น. วันที่ 22 มิ.ย. 59 นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย ได้แถลงข่าวมุมมองของศิษย์วัดพระธรรมกาย การกรณี ตามที่มีข่าวว่าดีเอสไอพบเช็คจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โอนมาวัดพระธรรมกายเพิ่มอีก 400 ล้านบาทว่า คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายขอเรียนชี้แจงดังนี้
1. ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบข้อมูลร่วมกันระหว่างสหกรณ์คลองจั่น ดีเอสไอและทางวัดพระธรรมกาย พบว่านายศุภชัย ศรีศุภอักษรได้สั่งจ่ายเช็คสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น มาบริจาคให้กับพระเทพญาณมหามุนี จำนวน 10 ฉบับ รวมยอดเงิน 387,160,000 บาท และบริจาคให้กับวัดพระธรรมกาย จำนวน 11 ฉบับ รวมยอดเงิน 668,400,000 บาท ยอดรวมเงินทั้ง 2 ส่วนเท่ากับ 1,055,560,000 บาท
ทางคณะศิษย์ได้ช่วยกันตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือเยียวยาแก่สหกรณ์คลองจั่น เต็มจำนวน 1,055,560,000 บาท
2.ทางสหกรณ์จึงได้มีหนังสือขอบคุณมายังคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายและทำหนังสือแจ้งไปยังดีเอสไอให้ทราบว่า สหกรณ์ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาต่อวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนีอีกต่อไป ยอดเงิน 400 ล้านบาทที่เป็นข่าวนั้น หากมีหลักฐานพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าเป็นการนำเงินจากสหกรณ์โดยผิดกฎหมายมาบริจาคจริง
3.ทางคณะศิษยานุศิษย์ก็จะประชุมหารือกันเพื่อหาทางช่วยเหลือเยียวยาต่อไป สหกรณ์คลองจั่นได้ฟ้องคดีแพ่งกับผู้ที่รับเช็คจากสหกรณ์คลองจั่นไปทั้งหมด 32 ราย
4.รวมยอดเงิน 13,000 ล้านบาท ซึ่งมีเพียงคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายเท่านั้น ที่ได้ช่วยเหลือเยียวยาแก่ทางสหกรณ์จนครบจำนวน บุคคลอื่นๆอีก 30 รายไม่มีใครเยียวยาแก่
สหกรณ์เลยแม้แต่บาทเดียว
5.ทำไมดีเอสไอจึงระดมสรรพกำลังนับพันนายจะดำเนินคดีแต่กับพระเทพญาณมหามุนี ซึ่งทำความดีมาทั้งชีวิต ทั้งสร้างพระ สร้างวัด เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก อีกทั้งคณะศิษย์ได้ช่วยเหลือเยียวยาไปหมดแล้ว การกระทำของดีเอสไอจึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับทางสมาชิกสหกรณ์แม้แต่บาทเดียว ทำไมดีเอสไอไม่ไปทุ่มเทกำลังตามหาเงินที่เหลืออีก 13,000 ล้านบาท จากผู้รับเงินรายที่เหลือซึ่งยอดเงินมากกว่านับสิบเท่า
6.พระสุวิทย์ วัดอ้อน้อย และนายไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการกดดันให้ดำเนินคดีกับพระเทพญาณมหามุนีนั้น เป็นผู้ต้องหาในคดีกบฏ จากการ shut down กรุงเทพฯ ดีเอสไอได้ส่งฟ้องแล้ว อัยการก็ได้พิจารณาสั่งฟ้องแล้ว ขั้นตอนล่วงเลยจนจะเป็นจำเลยขึ้นศาลแล้ว แต่ทั้ง 2 คนได้ร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการสูงสุด สั่งให้สอบเพิ่มเติม คดีนี้เวลาล่วงเลยมากว่า 2 ปีแล้ว ทำไมข่าวจึงเงียบสนิท ทั้งที่เป็นผู้ต้องหาในคดีร้ายแรงถึงขนาดเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ยึดสถานที่ราชการนานหลายเดือน ปิดเมืองหลวงของประเทศ สร้างความเสียหายแก่การบริหารราชการแผ่นดิน และความสามัคคีของคนในชาติอย่างใหญ่หลวง
ดีเอสไอได้ออกหมายเรียก หมายจับ หมายค้นนำตัวทั้งคู่มาสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อส่งให้อัยการ
สั่งคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็วหรือไม่
7.การกระทำของดีเอสไอนี้เป็น 2 มาตรฐานหรือไม่ มีธงหรือเปล่า มีใบสั่งหรือเปล่า ดีเอสไอ จะสร้างความเชื่อมั่นแก่สังคมและคณะศิษยานุศิษย์ ว่าดำเนินการทุกอย่างด้วยความเที่ยงธรรมตามกฎหมาย ไม่มีเอียง ไม่ 2 มาตรฐาน ได้อย่างไร ซึ่งคณะศิษย์กำลังพิจารณากล่าวโทษผู้เกี่ยวข้องต่อหน่วยงานของรัฐต่อไป
8. หากการดำเนินการของดีเอสไอถูกมองว่า 2 มาตรฐาน เลือกปฏิบัติ มีวาระแฝงเร้น ก็ยากที่จะให้สังคมเชื่อมั่น ยอมรับคำเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพกฎหมายก็อาจกลายเป็นเรื่องตลก เพราะอาจ ถูกมองได้ว่าเป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อพิฆาตทำลายศัตรูทางการเมืองของผู้มีอำนาจเท่านั้น ความจำเป็นรีบด่วนที่สุดของกระบวนการยุติธรรมในวันนี้ ก็คือต้องปรับปรุงการดำเนิน งานใหม่ ให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าไม่ลำเอียง ไม่ 2 มาตรฐาน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจใช้ในการทำลายล้างทางการเมือง เมื่อนั้นกระบวนการยุติธรรมก็จะได้รับความเคารพและปฏิบัติตามจากประชาชนทั้งแผ่นดิน
https://www.komchadluek.net/news/regional/230895
—————————————–
ที่จริงว่าจะเลิกสีซอให้สาวกทาสลัทธิธรรมกายฟังแล้วเชียวนา
เพราะรู้ว่าต่อให้สีจนสายซอขาด คันชักซอหัก กะโหลกซอแตก พวกลัทธินี้ก็ยังคงฟังไม่รู้เรื่อง
นอกจากฟังไม่รู้เรื่องแล้ว ยังส่งเสียงโหยหวนชวนเวียนหัวอีกตะหาก
แต่นี้ไปคงไม่ต้องใช้ซอสีแล้ว เปลี่ยนมาเป็นเคาะกะลา เสียงอาจไม่นุ่มทุ้มเสนาะหู ดังกังวาน คงน่าจะถูกใจ
เอาเป็นว่า ขอใช้สิทธิพาดพิง เคาะกะลาให้สาวกทาสอลัชชีได้ฟังอีกซักครั้ง เผื่อจะมีสำนึก รู้สึกตัวคิดได้บ้าง
ขอบอกว่าที่ส่งเสียงโหยหวนโอดครวญออกมาน่ะพิสูจน์ได้ไม่ยาก แค่ให้เจ้าลัทธิอลัชชีธัมมชโยใจกล้า ไม่หน้าตัวเมีย ออกมามอบตัวก็จะรู้เองว่ายอดเงิน ๔๐๐ ล้านของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนหายไปอยู่ในมือของเจ้าลัทธิอลัชชีธัมมชโยหรือไม่
ส่วนข้อที่ ๓ ที่บอกว่าพวกสาวกทาสธรรมกายจะประชุมหารือกันเพื่อหาทางเยียวยาแก่ผู้เสียหายนั้น คงจะกลัวเจ้าลัทธิอลัชชีติดคุกล่ะซิ
ขอบอกว่ามันเลยเวลาเจรจาจ่ายตังค์มาแล้วล่ะ
ก่อนหน้านี้ทำไมไม่คิดจะเยียวยาคืนเงินทั้งหมดที่เอาของเค้าไปล่ะ
พอเห็นว่าหมดทางดิ้นเลยหันมาใช้มุขเจรจาจ่ายตังค์
หรือคิดว่าจะใช้เงินปิดปากพยานผู้เสียหายเวลาไปขึ้นศาล พยานจะได้ให้การเป็นประโยชน์แก่เจ้าลัทธิ
หรือไม่เมื่อจ่ายตังค์เยียวยาแล้วก็จะเอามาอ้างว่าจ่ายเงินคืนไปหมดแล้ว ทำไมยังมาดำเนินคดีกับเจ้าลัทธิอีก
เช่นนี้ถือว่าเป็นการกลั่นแกล้งใส่ร้ายกันใช่ไหม
รวมความว่า งานนี้คิดว่าจะใช้เงินปิดปากพยานเพียงเพื่อบรรเทาโทษเท่านั้นเพราะกลัว จะได้ไม่ต้องติดคุกล่ะซิท่า
ทำเหมือนเมื่อครั้งปี ๔๑ – ๔๒ เลย
ครั้งนี้คงคิดว่ามุขเดิมหน้าจะเป่าคดีหรือบรรเทาโทษได้ล่ะกระมัง
พุทธะอิสระขอเรียกร้องลุงป้า ยาย ย่า น้า อา อย่าไปขายจิตวิญญาณความถูกต้องยุติธรรมให้กับพวกลัทธิอลัชชีนี้เด็ดขาด
ไม่เช่นนั้นจะเป็นการปล่อยอลัชชีให้ย้อนกลับมาย่ำยีสังคม ย่ำยีกฎหมาย ย่ำยีพระธรรมวินัยอีก
ประวัติศาสตร์เรื่องนี้มีให้เห็นกันมาแล้ว สังเกตจากตั้งแต่เกิดคดียักยอกเงินและที่ดินวัดในปี ๔๒ จนถึงปัจจุบัน เจ้าลัทธิอลัชชีล้วนต้องคดีเรื่องเกี่ยวกับการยักยอกโกงเงินวัดมาแล้วถึง ๕๒ คดี
หากวันนี้ลุงๆ ป้าๆ ยินยอมรับ เดี๋ยวมันก็ไปยักยอกฉ้อโกงเงินคนอื่นอีก
อย่าให้ความชั่วของมันย้อนกลับมาซ้ำรอยไม่รู้จบอีกเลย สงสารพระศาสนา สงสารแผ่นดินเถิด
ส่วนข้อ ๔ ที่อ้างว่าบุคคลที่ตกเป็นจำเลยมากมายในคดีนี้ แต่ไม่มีใครเยียวยาจ่ายเงินคืนให้แก่สหกรณ์เลย มีแต่พวกลัทธิธรรมกายเท่านั้น
อย่าพยายามอธิบายความให้ตัวเองดูดีเลย
หากคิดดี ทำดี พูดดี มาตั้งแต่แรกจริงๆ จะมานั่งเรี่ยไรรวบรวมเงินจ่ายคืนให้แก่สหกรณ์อยู่เช่นนี้หรือ
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตัวเจ้าลัทธิอลัชชีมีความโลภ ละโมบอยากได้เงินของเขา
คงคิดว่าไม่มีใครรู้เห็น
แต่สวรรค์ยังมีตาช่วยให้ความจริงปรากฏ
ถึงได้ต้องมานั่งเรี่ยไรขอรับบริจาคเงินใช้หนี้คดีอยู่นี่ไง
ระวังนะ พรบ.ควบคุมการเรี่ยไรเขาบอกไว้ชัดเจนตาม
มาตรา ๕ ห้ามมิให้จัดให้มีการเรี่ยไรหรือทำการเรี่ยไรดังต่อไปนี้
(๑) การเรี่ยไรเพื่อรวบรวมทรัพย์สินมาให้หรือชดใช้แก่จำเลยเพื่อใช้เป็นค่าปรับ เว้นแต่จะเป็นการเรี่ยไรในระหว่างวงศ์ญาติของจำเลย
เมื่อครั้งที่แล้วเรี่ยไรเงินชาวบ้านมาจ่ายใช้หนี้เพื่อยุติคดี พุทธะอิสระยังไม่ได้ไปแจ้งความ หากเที่ยวนี้ขืนประกาศเรี่ยไรหาเงินมาช่วยจ่ายหนี้เพื่อบรรเทาคดีอีก คงต้องไปเยี่ยมสภ.ปทุมกันอีกซักรอบแล้ว
และที่ต้องยอมจ่ายเงินเยียวยานั้นไม่ใช่เพราะสำนึกผิดชอบชั่วดีหรอก แต่คงเพราะกลัวติดคุกตะหากเล่า
ข้อ ๕ ที่ว่าดีเอสไอระดมสรรพกำลังนับพันนายจะดำเนินคดีกับเจ้าลัทธิอลัชชีนั้น
ขอถามว่าเชื่อจริงๆ อย่างนั้นหรือ เชื่อว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาดีเอสไอระดมกำลังเข้าไปจับกุมเจ้าลัทธิอลัชชีเช่นนั้นจริงๆ หรือ
ถามจริงเถิด พวกสาวกทาสธรรมกายนี่มันโกหกกันทั้งสำนักเลยหรือ
คนในประเทศนี้มีใครเห็นดีเอสไอพาเจ้าหน้าที่เข้าไปในสำนักอลัชชีเป็นพันบ้าง ใครช่วยยืนยันมาที
ข้อ ๖ ที่พาดพิงถึงพุทธะอิสระและคุณไพบูลย์
อยากบอกว่าอย่าเอาไอ้อลัชชีชั่วเจ้าลัทธิมาเทียบกับพุทธะอิสระ พญาราชสีห์แห่งเวทีแจ้งวัฒนะเลย
อย่าเอาผู้ต้องหาหนีหมายจับมาเทียบกับคนที่เขาเดินเข้าไปมอบตัว แล้วประกันตัวมาสู้คดีเลย
แม้ได้ประกันตัวมาสู้คดีจะเป็นเวลายาวนานนาดไหน อย่างน้อยคดีนี้ก็มีวันจบ
ดูตัวอย่างคดีเผาบ้านเผาเมือง ผู้สั่งการยังออกมาเดินลอยนวลสร้างความปั่นป่วนแก่บ้านเมืองได้เลย ทั้งที่เวลาล่วงเลยมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว
ต่างจากเจ้าลัทธิอลัชชีหนีหมายจับซึ่งยังไม่รู้ชะตากรรมเลยว่าจะจบเมื่อไหร่ จบอย่างไร
และจะมีโอกาสเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ ชาตินี้อลัชชีมันต้องถูกจับถอดผ้าเหลืองแน่
ข้อ ๗-๘ ใส่ร้าย ใส่ความเจ้าหน้าที่รัฐ กล่าวหาว่ามีสองมาตรฐาน
ระวังจะเจอข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ ตามมาตรา ๑๓๖
ขอเคาะกะลาให้ฟังอีกซักครั้งว่าคดีกบฏพ้นจากอำนาจของดีเอสไอไปแล้ว หลักฐานและพยานทั้งหมดล้วนอยู่ในมือของอัยการและอัยการกำลังสอบปากคำพยาน รอนัดฟังคำสั่ง
แต่แกนนำในแต่ละเวทียังสอบไม่เสร็จ
พวกเราเมื่อรู้ว่ามีผู้กล่าวหาให้ต้องคดีกบฏ
พอเลิกเวทีพวกเราก็เข้าไปมอบตัว ลงชื่อให้ปากคำรับเป็นผู้ต้องหา
ไม่ได้หน้าตัวเมียเหมือนเจ้าลัทธิอลัชชีหนีคดี หนีหมายศาล แล้วใช้โล่มนุษย์ของคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มานั่งเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางอยู่ทุกวันนี้ มันน่าทุเรศ
มนุษย์ผู้รู้จักผิดชอบชั่วดีเขาไม่ทำกัน มีแต่ผีเปรต อสุรกาย ที่หิวกระหายและไม่กล้าเผชิญหน้าเท่านั้นจึงทำได้ เคไหม
พุทธะอิสระ