มุขอุกเขปนียกรรมเถื่อนโผล่มาอีกแล้ว
๓ มิถุนายน ๒๕๕๙
ทำไมไม่มีสติปัญญาจะหามุขอื่นมาจัดการกับพุทธะอิสระกันแล้วหรือไร
เอาแต่เล่นมุขเถื่อนซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนี้ ไม่กลัวคนเขาเบื่อกันบ้างหรือไร
กลุ่มคนที่ใช้มุขอุกเขปนียกรรมเถื่อนเนี่ยถูกฟ้องมา ๒ รายแล้วนะจ๊ะ
เป็นนักบวชศาสนาไหนไม่รู้หรือไงว่า
การจะลงอุกเขปนียกรรมได้จะต้องอยู่ภายในอาวาสเดียวกัน
และต้องทำต่อหน้าผู้ถูกลงอุกเขปนียกรรม
ก่อนที่คณะสงฆ์ในอาวาสนั้นๆ จะมีมติลงอุกเขปนียกรรมจะต้องมีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงให้เป็นที่ประจักษ์
แล้วถามภิกษุผู้จะถูกลงอุกเขปนียกรรมนั้นว่าจะยอมรับในความผิดนั้นๆ หรือไม่
หากไม่ยอมรับจึงมีมติลงอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุผู้ละเมิดอาบัตินั้น
รวมความว่า ตามพุทธบัญญัติ หมู่สงฆ์ที่สามารถลงอุกเขปนียกรรมจะต้องอยู่ร่วมกันภายในอาวาสเดียวกันเท่านั้น
หาได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุหมู่อื่น อาวาสอื่น มาประกาศลงอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุต่างอาวาสไม่
แต่ถ้าภิกษุผู้ว่ายากสอนยากต้องอาบัติเป็นอาจิณ กระทำความเสื่อมเสียให้แก่หมู่สงฆ์โดยรวม
ภิกษุผู้รู้เห็นแม้อยู่ในอาวาสอื่นจักต้องนำเหตุการณ์หรือหลักฐานที่รู้ที่เห็นเข้ามาร้องทุกข์กล่าวโทษ โจทก์ภิกษุนั้น
ท่ามกลางหมู่สงฆ์ภายในอาวาสที่ภิกษุผู้ละเมิดอาบัตินั้นอาศัยอยู่
หรือไม่ก็นำไปร้องทุกข์กล่าวโทษแก่ผู้ปกครองหรือพระอุปัชฌาย์ของภิกษุนั้นให้ดำเนินการสอบสวน
ซึ่งจะอยู่พร้อมหน้าโจทก์ พร้อมหน้าจำเลย พร้อมหน้าพยาน พร้อมหน้าหมู่สงฆ์ ไม่ใช่หลบๆ แอบๆ ทำแบบเถื่อนๆ อย่างที่องค์กรเถื่อนทำแบบนี้
เหล่านี้คือวิธีระงับอธิกรณ์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ
อย่ามาอ้างว่าเครือข่ายพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทย
แต่ไม่มีใครกล้าลงลายมือรายชื่อ ทำตัวเป็นอีแอบ อ้างลอยๆ หาตัวตนผู้รับผิดชอบไม่ได้
ไม่รู้ว่ากลัวอะไรถึงไม่เปิดเผยชื่อของหัวหน้าเครือข่าย หรือเป็นแค่พวกอลัชชีหูดลัทธิธรรมกาย จึงไม่กล้าเปิดเผยตัวตน
เมื่อกล้าที่จะกล่าวโทษพุทธะอิสระ ก็ต้องกล้าที่จะเสนอหน้าปรากฏตัว อย่าทำเป็นหมาเห่าใบตองแห้ง แต่หาตัวคนรับผิดชอบไม่ได้
เดี๋ยวจะส่งให้สายสืบเขาสืบที่มาของเอกสารแผ่นนี้ว่ามันมาจากองค์กรไหน องค์กรนั้นต้องรับผิดชอบล่ะ
หากไม่รู้ว่าพระธรรมวินัยบัญญัติวิธีลงอุกเขปนียกรรมเอาไว้อย่างไร พุทธะอิสระจะสอนให้เอาบุญ
อันดับแรก รวบรวมพยานเอกสารหลักฐานความผิดของพุทธะอิสระและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่พระธรรมวินัย แก่บุคคล พร้อมทำคำร้องทุกข์กล่าวโทษให้เป็นลายลักษณ์อักษร ลงชื่อจริง นามสกุลจริง ที่อยู่จริง สถานภาพจริง สามารถตรวจสอบได้ เพื่อการนัดมาสอบปากคำและชี้ตัวผู้กระทำผิด
เมื่อเขียนคำร้องลงชื่อจริงสกุลจริงเรียบร้อยแล้ว จึงถือหนังสือคำร้องนั้นเข้าไปหาเจ้าคณะปกครอง ซึ่งมีตั้งแต่เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ หรือเจ้าคณะจังหวัด และพระอุปัชฌาย์ ท่านใดท่านหนึ่งก็ได้ หรือจะทั้งหมดก็ได้
เมื่อเจ้าคณะปกครองหรือพระอุปัชฌาย์ได้รับหนังสือคำร้องแล้วก็จะตรวจสอบพยานหลักฐานเอกสาร ดูว่ามีมูลหรือไม่
หากคดีมีมูล ก็จะประกาศประชุมสงฆ์ภายในอาวาสที่พุทธะอิสระจำพรรษาอยู่
พร้อมนัดผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหามาพร้อมหน้าสงฆ์ พร้อมหน้าพยาน พร้อมหน้าโจทก์ พร้อมหน้าจำเลย แล้วนำหลักฐานการกระทำความผิดของพุทธะอิสระประกาศต่อหมู่สงฆ์ในที่ประชุม แล้วจึงซักถามทั้งผู้โจทก์และผู้ถูกโจทก์ในแต่ละประเด็น
เมื่อพุทธะอิสระยอมรับต่อหลักฐาน หมู่สงฆ์ก็จะพิจารณาปรับอาบัติแก่พุทธะอิสระ
แต่ถ้าพุทธะอิสระไม่ยินยอม หมู่สงฆ์เห็นว่าพุทธะอิสระเป็นผู้ว่ายากสอนยาก
ประธานในที่ประชุมสงฆ์นั้นจึงขอมติให้สงฆ์ประกาศลงอุกเขปนียกรรม คือการไม่กินร่วม ไม่อยู่ร่วม ไม่ให้ลงสังฆกรรมร่วม ตัดสิทธิแห่งความเป็นภิกษุภายในอาวาส (ขอย้ำว่าตัดสิทธิแห่งความเป็นภิกษุภายในอาวาส ไม่ใช่ตัดสิทธิทั้งสังฆมณฑล) แก่พุทธะอิสระจนกว่าจะเปลี่ยนแปลงนิสัยแก้ไขพฤติกรรม
เหล่านี้ต่างหากเล่า คือวิถีแห่งวินัยบัญญัติของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่อลัชชีบัญญัติที่อ้างส่งเดช แต่หาตัวผู้รับผิดชอบในการกล่าวโทษไม่ได้ เอาแต่แอบอ้างองค์กรสงฆ์ โดยไม่มีตัวตนคนผู้โจทก์
แม้หน่วยงานของรัฐเขาจะฟ้องใคร เขายังแต่งตั้งให้บุคคลเข้าไปทำหน้าที่ร้องทุกข์กล่าวโทษแทนองค์กรนั้นๆ เลย ไม่ใช่เลื่อนลอย
อย่างนี้แหละ พุทธะอิสระจึงเรียกว่าองค์กรเถื่อน เครือข่ายเถื่อน
กล้าๆ หน่อย ไหนๆ ก็อยากจะกำจัดพุทธะอิสระแล้วก็อย่าหน้าตัวเมีย
อย่าทำเป็นอีแอบ ความกล้าหาญในธรรมน่ะมีไหม
พุทธะอิสระรออยู่นะ และรอมานานแล้วด้วย
หรือแค่ต้องการจะทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยรังเกลียดเฉยๆ โดยไม่หวังผลทางพระธรรมวินัย
หากพวกอีกแอบทั้งหลายคิดอย่างนี้ แสดงว่าชั่วอย่างไร้ที่ติ
ที่บังอาจเอาพระธรรมวินัยมาบิดเบือน มาล้อเล่น เช่นนี้มันไม่สมควรจะมาใช้คำว่าพระภิกษุด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้เคารพพระธรรมวินัยอันเปรียบดังองค์พระศาสดา
พุทธะอิสระ