ขออนุญาตแชร์นะจ๊ะ เปลวสีเงิน : แล้วก็ ‘ออกลายมาเลย’ จนได้
1 มิถุนายน 2559
ประทานกราบเรียนถาม…………
“คณะกรรมการมหาเถรสมาคม” และ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” ผู้ปฏิบัติหน้าที่พระสังฆราช
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย!
ในฐานะผู้ปกครองคณะสงฆ์ พระคุณเจ้า รู้สึกละอาย หดหู่ เศร้าใจ หรือ ปีติ ชุ่มชื่น สบายอก-สบายใจดี
หรือ…ไม่ทุกข์ร้อน ไม่รู้สึกอะไรเลย?
ที่ได้เห็น เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย “พระเทพญาณมหามุนี” หรือสมีโย คนในปกครอง ผู้ต้องหาร่วมฟอกทรัพย์-รับของโจร กระด้างกระเดื่อง ไม่ยอมรับอำนาจกฎหมายบ้านเมือง
ไม่เพียงเท่านั้น……….
ยังแปลงวัดเป็นค่ายคูรบ เหิม-หาญสถาปนาพื้นที่ ๔,๐๐๐ ไร่นั้น ขึ้นเป็น “รัฐธรรมกายอิสระ”
มีกองกำลังเป็นของตัวเอง ตรวจตราคนเข้า-ออก ติดตั้งเครื่องป้องกัน ขึงลวดหนามรายรอบ
ดูอีกที ก็คล้ายเรือนจำหรือค่ายกักกันตัวเอง!
และพร้อมต่อสู้-ขัดขืน ถ้าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะเข้าไปจับกุมตัวสมีโย!
พระคุณเจ้าทั้งหลาย…..
จะนิ่งเฉยในทางธรรม หรือนิ่งเฉยในทางไม่ทำหน้าที่ “เจ้าพนักงาน” บ้านเมืองตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ กระไรหรือไฉน?
เอาแต่หน้าที่ “กิจนิมนต์” อย่างเดียวกระนั้นหรือ?
ขณะนี้ สมีโยและสาวก กำลังใช้คำว่า “พระพุทธศาสนา” เป็นเกราะกำบังโจรซุกผ้าเหลือง
ในปี พ.ศ.๕๒-๕๓ เกิดปรากฏการณ์ “เหลืองจำแลงแดง” ออกมาเกลื่อนถนน เพื่อระบอบทักษิณ ก็ “นิ่งเฉย” ทีหนึ่งแล้ว
มาขณะนี้ ก็ปรากฏ “แดงจำแลงเหลือง” ออกมา เพื่อสมีโยอีก จะนิ่งเฉยอีกอย่างนั้นหรือ?
เรื่องของพระ-ของวัด……..
ถ้าผู้มีหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ ทอดธุระ ไม่ทำหน้าที่ จะปล่อยให้ความดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนา ของพระสัทธรรม เป็นหน้าที่ อุบาสก-อุบาสิกา รักษาแทน
ก็ไม่เป็นไร………
ขอให้พระเดชพระคุณเจ้า ออกปากมาเถิด บรรดาอุบาสก-อุบาสิกาทั้งหลาย จะไม่ออกบิณฑบาต ไม่ออกบังสุกุลผีแทนหรอก
แต่จะใช้ความเป็นพุทธบริษัท ๔ ตามที่พระพุทธองค์ตรัสฝากฝัง ทำหน้าที่กำจัด “โจรผ้าเหลือง” ให้เอง!
ตอนนี้ ดูเหมือนอาณาจักรจานบินฮึกเหิมหนัก
คงเข้าใจว่า ฝ่ายบ้านเมืองครั่นคร้ามต่อยุทธศาสตร์-ยุทธวิธี และกองกำลัง “แดงจำแลงเหลือง” จนไม่กล้าเข้าไปจับเจ้าลัทธิค้อนสวรรค์
จำเพลงไม่ได้หรือ ที่มีเนื้อร้องว่า…”ออกลายมาเลย” นั่นน่ะ?
ที่ทางบ้านเมือง โดย DSI ยังไม่ลงมือทำอะไร ไม่ใช่เขาครั่นคร้าม เขารอให้ “ออกลาย” มาให้หมดตะหาก
ตอนนี้ก็ออกมาเกือบหมดแล้ว ที่เคยมะลำเมลือง ว่าอะไรคืออะไร ก็ชัดแจ้ง-แดงแจ๋แล้ว
ยิ่งออกลาย ทั้งสมีโยและสาวก ยิ่งถลำเข้าสู่ข้อหา……
มีพฤติกรรมเป็นอันตรายต่อความมั่นคงภายใน เผลอๆ ถึงขั้น “กระด้างกระเดื่องต่ออำนาจรัฐ”!
จริงๆ แล้ว เรื่องนิดเดียว ๕-๑๐ นาที ก็จบ
แค่ทำเหมือนชาวโลกเขาทำ คือเมื่อถูกกล่าวหา ก็ไปรับทราบข้อหา ประกันตัวไป
แล้วสู้คดีกันไป ๕ ปี ๑๐ ปี ๒๐ ปี หรือจะกี่ปี ก็ว่ากันไป
แต่นี่ มารยาสาไถย แสร้งป่วยหนัก ถ้าหนักจริง หมกอยู่ข้างในเป็นเดือนๆ อย่างนี้
ไม่เน่าลามถึงอวัยวะโคนขา ตายคาวัดไปแล้วรึ?!
เขายังไม่รีบเข้าไปจับหรอก เขาจะดู “ทุกแนวร่วม” ให้ออกลายไปเรื่อยๆ ก่อน ให้หลงลำพองกันไปว่า
ที่เป็นเต่า-เป็นตะพาบในไห แต่หลงว่าเป็น พยัคฆ์ในไพร เป็นมังกรตะกายตึกน่ะ มีฤทธิ์ไปถึงขั้นไหน!
ประเด็นที่ว่า มีค่ายคู-ประตูกลใต้ดิน-บนดิน ป่านนี้ ถลกตูดเตลิดออกนอกประเทศไปแล้ว นั้น
ขอให้จริงเถอะ…หนีได้ ก็ให้หนีไป!
ไปอยู่สหรัฐฯ “ศูนย์รวมโจรแผ่นดิน” นั่นแหละ จะได้หายสงสัยกันซะที ว่าที่เจ้า ๒ โจกทำลับๆ ล่อๆ มาเป็นเวลานานนั้น ที่แท้ก็ “เคมีเดียวกัน”
เรื่องจับนั้น ยังไงก็จับ
เพราะสภาพที่ปรากฏ มันเป็นการ “แปลงวัดเป็นค่ายรบ” ท้าทายอำนาจรัฐชัดมาก
ขืนปล่อยไป โดยไม่จัดการในประเด็นนี้ ต่อไป จะมีเจ้าพ่อ-เจ้าแม่-เจ้าลัทธิ เอาอย่าง
จัดตั้ง “กองกำลัง” ของใคร-ของมัน เหมือน รีโอเดจาเนโร สถานที่จะแข่งโอลิมปิกนั่นแหละ
แต่ละบ้าน แต่ละอาคารคนรวย จะมีหน่วยกำลัง สวมเสื้อเกราะ พกอาวุธสงคราม ยืนคุ้มกัน หน้าตาถมึงทึง!
ที่ DSI เดินตามตรอก-ออกตามประตูตอนนี้ ถูกต้องแล้ว ถึงช้า ไม่ทันใจวัยรุ่น-วัยดึก แต่ปิดร่อง-รอยตะเข็บให้แย้งภายหลังมิได้!
ในเมื่อสมีโยเป็นเจ้าอาวาส และวัดพระธรรมกายอยู่ปทุมธานี
เมื่อต้องคดีทางโลก……..
การที่ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี DSI นำเรื่องแจ้งให้ “พระเทพรัตนสุธี” เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต ทราบ เพื่อจัดการทางการปกครองสงฆ์ ถือว่าทำตามขั้นตอนเป๊ะ
เพราะ “พระเทพรัตนสุธี” เป็นเจ้าคณะปกครองวัดทุกวัดในเขตปทุมธานี พระทุกวัดในเขตนี้ ต้องอธิกรณ์ ต้องให้ท่านชำระเป็นด่านแรก
รัฐมนตรียุติธรรม “พลเอกไพบูลย์” และ พ.ต.อ.ไพสิฐ พูดตรงกัน หลังแจ้งเรื่องให้พระคุณเจ้าทราบ ว่า……
“พระเทพรัตนสุธีเข้าใจเจ้าหน้าที่รัฐและรับจะเป็นผู้ประสานดำเนินการในฐานะเจ้าคณะปกครองทางสงฆ์ให้ โดยขอเวลาดำเนินการ”
พระเทพรัตนสุธี ท่านมีปฏิปทาน่าเลื่อมใส ถึงเป็นปกครองสงฆ์ระดับจังหวัด ที่สมีโยและวัดพระธรรมกาย “ไม่เคยเห็นหัว” มาก่อนก็เถอะ
แต่เมื่อ “ระดับจังหวัด” เอาธุระจริงจัง….
เมื่อไปถึงระดับภาค ๑ “พระราชวิสุทธิเวที” ที่วัดชนะสงครามและระดับเจ้าคณะใหญ่หนกลาง “สมเด็จพระพุทธชินวงศ์” วัดพิชัยญาติฯ
เมื่อ “ต้น” มาตรง “ปลาย” จะคด ก็ยากอยู่!
แต่จะยาก-จะง่าย นั่นอย่าไปคิด ไปเดา ให้เข้าใจว่า การจะจับให้มั่น-คั้นให้ตาย ต้องเดินตามกฎหมาย และอุดช่องรอด-ช่องเล็ดให้หมดก่อน
“อาญาทางโลก” ก็ทำไป
แต่เมื่อผู้ต้องหาคลุมผ้าเหลือง แถมเส้นใหญ่ ก็ต้องจัดการตาม “อาญาทางสงฆ์” ประสานให้แน่นหนา
เพราะลำพัง “อาญาทางโลก” มีข้อให้อ้าง “ยังไม่ถึงที่สุด” ถือว่ายังไม่ผิด ไม่ยอมสึก ไม่ยอมออกตำแหน่งเจ้าอาณาจักรจานบินได้อยู่
ฉะนั้น ต้องเดินตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เพราะ พ.ร.บ.สงฆ์ยึดแนวพระวินัย ในทางพระวินัย “อาบัติทางใจ” มีอยู่ ถือเป็นองค์ชี้อาบัติขั้นปาราชิกได้
นั่นคือ เดินตามศาลสงฆ์ จับสมีโยสึกได้ หรือขั้นแรก ปลดจากตำแหน่งเจ้าอาวาสได้!
ที่หลวงปู่ “พุทธอิสระ” ไปยื่นหนังสือต่อ “พระราชวิสุทธิเวที” เจ้าคณะภาค ๑ ที่วัดชนะสงคราม เมื่อวานนั่นแหละ
แหลมคม “ถูกที่-ถูกทาง” แล้ว!
หลวงปู่ไปยื่นหนังสือในประเด็นว่า……..
ให้ใช้อำนาจในทางปกครองสงฆ์ถอดถอนพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโยใน ๒ กรณี คือ ๑.ให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เนื่องจากล่วงละเมิดพระธรรมวินัยจริยาพระสังฆาธิการและกฎหมายบ้านเมืองเป็นอาจิณ….ฯลฯ…..
๒.ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางพระธรรมวินัย ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑(พ.ศ.๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม
เนื่องจากพระธัมมชโย มีพฤติกรรมผิดสิกขาบท ข้อที่ ๔ ว่าด้วยการอวดอุตริมนุสธรรมหลายครั้ง ……ฯลฯ……..
กรณีนี้ ต้องโทษอาบัติปาราชิก เป็นอำนาจพิจารณาของเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าคณะภาค จึงขอให้เจ้าคณะภาค ๑ สั่งการไปยังเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ดำเนินการ
จะเห็นว่า หลวงปู่พุทธอิสระ ไม่ได้ยกเรื่องสมีโยตกเป็นผู้ต้องหาร่วมฟอกทรัพย์-รับของโจร ให้เจ้าคณะภาคไต่สวน
เพราะนั่นเป็นอาญาบ้านเมือง ทาง DSI ดำเนินการอยู่แล้ว
แต่หลวงปู่เจาะจงอธิกรณ์ทางสงฆ์ ผ่านทางศาลสงฆ์ ข้อหาประพฤติผิดพระวินัยขั้นปาราชิก
ทั้งต้องปลดสมีโยจากเจ้าอาวาส และทั้งให้สึก ตามกฎนิคหกรรม!
ครับ…เรื่องทางโลก-ทางสงฆ์ ถ้าไม่รู้ระเบียบ อาจทำให้มองปัญหานี้ผิดๆ-ถูกๆ เอะอะก็ “ทำไมไม่ลุยจับ”
ก็คุยพอให้เข้าใจกัน ไอ้ที่คำรามกันฮึ่มฮั่มว่า…นายกูกลับมาเมื่อไหร่ ทั้ง DSI ทั้งไพบูลย์ ทั้งประยุทธ์ ไม่มีแผ่นดินจะอยู่น่ะ
เออ…ข้าก็จะรอดูพวกเอ็งเหมือนกัน!
https://www.thaipost.net/?q=plew.seengern