ปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มันต่างกันกับ ปกป้องอลัชชี ว. 5 ทราบแล้วเปลี่ยน

0
196

ปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มันต่างกันกับ ปกป้องอลัชชี ว. 5 ทราบแล้วเปลี่ยน
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙

280559-บทความ-ปกป้อง-ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์-มันต่างกันกับ-ปกป้องอลัชชี-วเพราะมีอลัชชี อย่างพวกเจ้าแหละ พุทธะอิสระ จึงต้องออกไปถือ ว.

แต่สาวกธรรมกายถือ ว. เพราะต้องการปกป้องอลัชชีตัวพ่อของตน

พุทธะอิสระ
——————————-

ขออนุญาตแชร์นะจ๊ะ

ยอมตาย!ป้องนะจ๊ะ สาวกจานบินขยับ/DSIจ่อนิมนต์’สมเด็จช่วง’กล่อม

ไทยโพสต์
วันเสาร์ ที่ 28 พฤษภาคม 2559 – 00:00

“ดีเอสไอ” วาง 5 แผนจับพระธัมมชโย รับลูก “ดร.มโน” ชงนิมนต์ “สมเด็จช่วง” ช่วยเจรจาพาเข้าแจ้งข้อหา หลีกเลี่ยงเผชิญหน้ากำแพงมนุษย์ “ไพบูลย์” ปัดงัด ม.44 ดำเนินการ ยัน กม.ปกติใช้ได้ ย้ำต้องขอหมายค้นเพื่อเตรียมพร้อมไว้ก่อน แต่ยังไม่ดีเดย์บุกวัด ถามสังคมนำรถแบ็กโฮขวางปิดประตูเป็นแหล่งอิทธิพลหรือไม่ “ธรรมกาย” ตรึงกำลังแน่นวัด อ้างจัด รปภ.เข้มหวั่นมือที่ 3 ป่วน ลูกศิษย์แจง “นะจ๊ะ” ไม่หนี แพทย์บอกยังมีอาการโคลงๆ อยู่ “ตุ๊ดตู่” ซัด จนท.ลุอำนาจ ทำเรื่องให้บานปลาย

ความคืบหน้าภายหลังจากพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไม่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาคดีความผิดสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร จากการรับเช็คจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด กับพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตามที่นัดหมายไว้ที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา

ตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 27 พ.ค. ดร.มโน เลาหวณิช อดีตลูกศิษย์คนสนิทของพระธัมมชโย เดินทางเข้าร่วมประชุมกับคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คดีที่ 27/2559 กรณีพระธัมมชโยไม่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา เพื่อให้ข้อมูลและความเห็นการดำเนินคดีพระธัมมชโย

ดร.มโน กล่าวก่อนเข้าร่วมประชุมว่า มาตามคำเชิญของ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน เพื่อมาให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการหาทางออกในเรื่องคดีของพระธัมมชโย เพื่อให้เป็นไปอย่างละมุนละม่อม และไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากับกำแพงมนุษย์

ดร.มโนกล่าวว่า ทางออกที่เป็นไปได้คือ ต้องมีพระเถระชั้นสูง ซึ่งที่เหมาะสมที่สุดคือผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เนื่องจากเป็นพระอุปัชฌาย์โดยตรงของพระธัมมชโย จะต้องมาเป็นผู้ประนีประนอมและนำเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้น พร้อมทั้งบอกให้พระที่อยู่ในวัดพระธรรมกายเข้าไปประจำกุฏิของตนเอง ให้ฆราวาสเดินทางกลับบ้าน ซึ่งจะทำให้การดำเนินการกับพระธัมมชโยง่ายขึ้น

“ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดการเผชิญกับกำแพงมนุษย์ เพราะขณะนี้มีคนเข้าไปอยู่ในวัดพระธรรมกายแล้วกว่า 5,000 คน พระอีก 500 รูป ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดี และหากปล่อยไปก็จะเกิดการเผชิญหน้า อีกทั้งเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปจับกุมก็จะไม่สะดวก แต่การที่เจ้าหน้าที่จะไม่ทำอะไรเลย ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งคิดว่าเจ้าหน้าที่ก็ให้ความผ่อนปรนจนถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นขณะนี้จึงเป็นจังหวะที่ต้องใช้การพูดเข้ามาเป็นส่วนประกอบ ส่วนตำแหน่งที่อยู่แน่ชัดของพระธัมมชโยเรารู้แล้วว่าอยู่ตรงไหนและมีใครอยู่บ้างชัดเจน” ดร.มโนกล่าว

อดีตลูกศิษย์คนสนิทของพระธัมมชโยกล่าวว่า การจะเข้าไปคุยกับพระธัมมชโยจำเป็นต้องมีบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือและอำนาจของการบริหารคณะสงฆ์เป็นผู้นำ ส่วนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จะมีลิขิตหรือวินิจฉัยออกมาอย่างไร ท่านจะไปด้วยตัวเองหรือส่งผู้ถือสารออกไปประกาศที่วัดพระธรรมกาย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จำเป็นที่จะต้องให้พระเถระระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอุปัชฌาย์ของพระธัมมชโยจะต้องมีส่วนด้วย เพื่อคลี่คลายปมความขัดแย้งในครั้งนี้

ถามว่า มีการอ้างว่าพระธัมมชโยอาพาธหนักจริง อดีตลูกศิษย์คนสนิทของพระธัมมชโยกล่าวว่า ตนคิดว่าไม่เป็นเรื่องจริง ได้ยืนยันมาตลอด เจตนาเดิมของพระธัมมชโยไม่มีเจตนาที่จะเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนเลย ซึ่งที่จริงแล้วเมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่มีศิษยานุศิษย์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งคิดว่าการมอบตัวจะเป็นหนทางที่จะแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือเข้ามอบตัวและให้ประกันตัวออกมาสูคดี แต่เนื่องจากว่าจิตใจของพระธัมมชโยไม่พร้อม

ขอ ‘สมเด็จช่วง’ กล่อม

“ถ้าใครที่อยู่ในวัดพระธรรมกายจะทราบดีว่าพระธัมมชโยเปลี่ยนใจได้วันละ 100 ครั้ง ซึ่งท่านเจอว่ามีแพทย์มาก็ตกใจ และเมื่อวานนี้ที่หนีและอาการกำเริบขึ้นเพราะรู้ว่ามีหมอมา และรู้ว่าตัวเองไม่ได้ป่วยจริงก็อาจจะโดนข้อหาลวงโลกอีก ก็เลยรีบเผ่นกลับเข้าไป ส่วนใจจริงแล้วท่านกลัวการสอบสวนเป็นที่สุด ฉะนั้นการที่จะเข้ามอบตัวก็เป็นไปไม่ได้เลย” อดีตลูกศิษย์คนสนิทของพระธัมมชโยกล่าว

ซักว่า หากสมเด็จช่วงไม่ทำตามข้อเสนอ จะดำเนินการอย่างไร ดร.มโนกล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะถือว่าท่านละเลยการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากเป็นพระผู้ปกครอง และท่านจะทำให้ศาสนาเศร้าหมองไปกว่านี้ เกิดความรุนแรงขึ้นภายในวัดอย่างนั้นหรือ แต่ว่าการเข้าไปและไม่พบพระธัมมชโยนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ระยะเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าท่านอาจจะไม่ได้อยู่ในวัด หรือค้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เพราะในวัดซับซ้อนมาก

ต่อมา ดร.มโนกล่าวหลังประชุมว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอยอมรับแผนที่ตนเองได้นำเสนอไป และวันที่ 27 พ.ค. อธิบดีดีเอสไออาจจะต้องเดินทางเข้าไปพบสมเด็จช่วงที่วัดปากน้ำด้วยตัวเอง เพื่อขอให้สมเด็จช่วงช่วยเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยให้พระธัมมชโยเข้ามอบตัว จะได้ไม่เกิดความรุนแรง

ดร.มโนกล่าวถึงสถานที่อยู่ของพระธัมมชโยว่า ขณะนี้พระธัมมชโยจำวัดอยู่ที่อาคารภาวนา ซึ่งเป็นสถานที่อยู่ติดกับกำแพงวัดพระธรรมกาย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ด้านหน้าเป็นรั้วคอนกรีต ส่วนด้านหลังเป็นคลองกว้าง 10 เมตร เรียกว่า คลองแอน การรักษาความปลอดภัยจะมีพระสงฆ์นั่งสมาธิผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันวันละ 500 รูป โดยพระเหล่านี้จะถูกฝึกให้นั่งเรียงกัน ถ้านั่งแล้วมีคนแปลกปลอมเข้ามา ให้ยืนขึ้นแล้วคล้องแขนกันเป็นลูกโซ่ ถ้ามีเหตุการณ์อะไรรุนแรงก็ให้ใช้มือถือถ่ายภาพ แล้วฟ้องต่อสังคมโลก

“ชัดเจนว่าทางวัดพระธรรมกายได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว ทำให้คนภายนอกเข้าถึงตัวพระธัมมชโยได้ยากมาก นอกจากนี้ยังมีญาติโยมมาคอยอารักขาอีกวันละ 5,000 คนจากทั่วประเทศ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน คนนอกเข้าไปไม่ถึงตัวแน่ ถือได้ว่าวัดธรรมกายใช้ยุทธวิธีตั้งโล่มนุษย์” อดีตลูกศิษย์คนสนิทของพระธัมมชโยกล่าว

ด้านนายชยพล พงษ์สีดา รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ขณะนี้ทางดีเอสไอได้ประสานมายัง พศ.แล้ว อยากให้มีคนกลางประสานทางวัดพระธรรมกายในการรับทราบข้อกล่าวหา แต่ พศ.ต้องรอดูเงื่อนไขความต้องการของดีเอสไอก่อน

“ที่มีข่าวดีเอสไอจะขอให้ทางสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นผู้ไปเจรจา ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่หากดีเอสไอมีหนังสือร้องขอมาเช่นนี้ พศ.ก็ต้องนำเรื่องถวายรายงานให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ได้รับทราบ และพิจารณาว่าท่านเห็นควรอย่างไร ทางพศ.ก็จะดำเนินการตามที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เห็นสมควร” รอง ผอ.พศ.กล่าว

นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ได้รับทราบและได้รับการประสานจากดีเอสไอเช่นกัน แต่ในเบื้องต้นได้ประสานให้ทางดีเอสไอพบกับทางพระเทพรัตนสุธี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ในฐานะเจ้าคณะปกครอง จะมีวิธีการดำเนินการร่วมกันอย่างไร เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี

“ตามขั้นตอนของระบบการปกครองคณะสงฆ์ตามมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 4/2544 ระบุไว้ว่า เหตุเกิดที่ใดเจ้าคณะปกครองต้องดำเนินการให้เป็นที่ยุติในเขตปกครองของตน รวมทั้งให้ใช้หลักการในกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 11/2521 ว่าด้วยการลงนิคหกรรมมาใช้ประกอบ เพื่อที่จะให้เรื่องที่เกิดขึ้นเกิดข้อยุติโดยไม่ละมุนละม่อม ไม่เกิดการกระทบกระทั่งต่อกัน” นายพนมกล่าว

เคาะ 5 แผนจับธัมมชโย

ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า คณะพนักงานสอบสวนได้ประชุมกันโดยมีการกำหนด 5 แนวทาง ในการดำเนินการ คือ 1.ให้กำหนดแผนหมายจับตามแผนดีเอสไอ 2.ส่งหมายจับให้ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ หากเห็นผู้ต้องหาสามารถจับกุมได้เลย 3.ส่งหนังสือให้ฝ่ายเถรสมาคมและคณะสงฆ์ชี้แจงให้ทราบว่าใครเป็นผู้บังคับบัญชา เนื่องจากมีพระบางรูปขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และให้พิจารณาการลงโทษ 4.จะดำเนินการตามกฎหมายคดีอาญา ม.189 ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้อง หาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม และ 5.เร่งรัดรวบรวมทำสำนวนคดีให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อส่งอัยการ

“คดีนี้เกี่ยวเนื่องเกี่ยวโยงกับหลายคน คาดว่าพนักงานสอบสวนจะใช้ระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ จากนั้นพนักงานสอบสวนจะดำเนินการขั้นตอนต่อไป” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว

ถามว่า ดีเอสไอกล้าๆ กลัวๆ ไม่เข้าไปจับกุมพระธัมมชโย ตรงนี้จะใช้มาตรา 44 และขอกำลังทหารมาช่วยหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 ในการเข้าจับกุม เพราะสามารถใช้กฎหมายปกติได้ ตนตอบไปหลายครั้งว่าตามหน้าที่พนักงานสอบสวนไม่จำเป็นต้องปรึกษาตน แต่ก็ได้ให้คำปรึกษา ซึ่งนายกฯ ก็ห่วงในการดำเนินคดี และกำชับให้ดำเนินการตามปกติไป อย่าให้ขยายขอบเขตไปเรื่องอื่น เพราะจะแก้ปัญหายุ่งยากบานปลายมากขึ้น

“คิดว่าพวกเราคงเข้าใจและเห็นด้วยว่าไม่สามารถที่จะทำให้เกิดเหตุรุนแรงได้ ดังนั้นเมื่อพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการตามหน้าที่ตัวเองแล้ว แต่มีการขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่จนเกิดเหตุวุ่นวายเสียหาย แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้แผนการดำเนินการตามข้อแรกที่ผมระบุก็ยังไม่ได้เข้าไปดำเนินการ ได้เพียงแต่คาดเดาว่าจะเกิดขึ้น ต้องรอให้เจ้าหน้าที่กำหนดตามแผนก่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องที่ประเมินสถานการณ์ได้เองว่า ถึงเวลาที่จะต้องถอนกำลัง หรือว่าถึงเวลาเหมาะสมในการเข้าไปในวัดหรือยัง แต่ในวันนี้ยังไม่เข้าไปในวัด จึงยังไม่รู้ว่าสิ่งที่คาดคิดที่ว่าจะเกิดการขัดขวางจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว

ซักว่า การขอหมายค้นจะขอเมื่อไหร่ รมว.ยุติธรรมกล่าวว่า หมายค้นขึ้นอยู่กับว่าคณะพนักงานสอบสวนจะไปขอเมื่อไหร่ และก็ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะอนุมัติหมายค้นให้หรือไม่ เพราะต้องทำรายละเอียดและเหตุผลให้ศาลพิจารณา และต้องมีการกำหนดสถานที่ว่าจะเข้าตรวจค้นตรงไหนบ้าง ตนเข้าใจว่าคงจะต้องทำ เพราะการเตรียมการพร้อมแล้ว แต่เราไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเอื้อประโยชน์ ที่จะเข้าไปดำเนินการได้หรือไม่

“การเตรียมการเรื่องหมายค้นจะต้องเตรียมไว้ก่อนเลย ส่วนจะได้หมายค้นหรือไม่ ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของศาล ไม่สามารถตอบได้ ถ้าไม่ให้ก็ต้องเข้าไปดำเนินการตามหมายจับอย่างเดียว และในช่วงเช้าทางดีเอสไอได้ส่งหนังสือไปให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเป็นผู้บังคับบัญชาเพื่อให้ช่วยแก้ปัญหาและสนับสนุนการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่” รมว.ยุติธรรมกล่าว

เมื่อถามว่า วัดพระธรรมกายได้นำรถแบ็กโฮมาปิดขวางทางเข้า-ออก พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า นั้นคือสิ่งบอกเหตุที่จะต้องดำเนินการ ตนเคยพูดตลอดเวลาว่าเรื่องพฤติกรรมต่างๆ นั้น มันกำลังส่อไปถึงอะไร เป็นจงใจขัดขวาง และไม่ให้ความร่วมมือหรือไม่

“ผมไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพวกนี้ ผมพยายามพูดกับสื่อเสมอว่าสังคมต้องดู ส่วนวัดธรรมกายจะเป็นแหล่งอิทธิพลในวัดหรือไม่นั้น ก็ลองจำกัดความเอาเองว่าใช่หรือไม่” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว

ถามว่า การมีมวลชนจำนวนมากมากดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ จะทำให้เกิด 2 มาตรฐานในการแจ้งข้อหากับบุคลอื่นหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ไม่มีใครกดดันตนได้ และอยากถามสังคมว่าอยากให้เป็นอย่างนี้หรือ ต้องถามว่าใครทำให้เกิด 2 มาตรฐานเช่นนี้

วัดธรรมกายจัด รปภ.เข้ม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็นมีเจ้าหน้าที่จากดีเอสไอจำนวน 2 คนเดินทางมาที่วัดเขียนเขต หมู่ 2 ต.บึงยี่โถ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เข้าพบพระเทพรัตนสุธี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต ในฐานะเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี โดยไม่ให้สื่อมวลชนเข้าไปร่วมฟังการหารือ แต่คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องการประสานงานพระธัมมชโยในการรับทราบข้อหา ใช้เวลานานกว่า 50 นาที จากนั้นได้ออกมาโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ

ส่วนที่วัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงกลางดึกวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา บริเวณประตูเข้าวัดพระธรรมกาย ฝั่งถนนเลียบคลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เป็นจุดที่ใกล้เคียงอาคารดาวดึงส์ ซึ่งเป็นจุดที่พระธัมมชโย นอนรักษาอาการอาพาธอยู่ในห้องปลอดเชื้ออยู่ในเขตสังฆาวาส มีการนำรถเกรดเดอร์และรถแบ็กโฮมาปิดกั้นทางเข้า-ออก รวมทั้งประตูที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง รวมทั้งภายในยังมีมวลชนมานั่งเฝ้าทั้งด้านในและด้านนอก และมีรถจักรยานยนต์ขี่วนเวียนดูแลความเรียบร้อยตลอดทั้งวันทั้งคืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันศุกร์ ภายในวัดพระธรรมกายมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยมีการใช้แท่นปูน สร้างรั้วเหล็กกั้นประตู และยังนำรถยนต์ส่วนบุคคลจอดเรียงรายอย่างแน่นหนา คล้ายกับเป็นกำแพงกั้นไว้สองถึงสามชั้นตามประตูทางเข้าต่างๆ

จากนั้นเวลา 14.00 น. ได้มีคณะศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกาย ที่เดินทางมาร่วมบุญที่วัดจำนวนหลายพันคน ได้เดินเท้าออกจากห้องแก้วสารพัดนึก ในสภาธรรมกายสากล เพื่อเดินเท้าไปที่อาคาร 100 ปี คุณยายจันทร์ ขนนกยูง ซึ่งอยู่ติดกับอาคารดาวดึงส์ ซึ่งเป็นสถานที่รักษาอาการอาพาธของหลวงพ่อธัมมชโย

โดยผู้ที่ร่วมคณะคนหนึ่งกล่าวว่า คณะศิษยานุศิษย์กำลังเดินเท้าไปบำเพ็ญประโยชน์ที่อาคาร 100 ปี คุณยายจันทร์ ขนนกยูง โดยการเดินได้กล่าวบทสวดสรรเสริญพระมงคลเทพมุนีตลอดเส้นทาง ขณะที่โดยรอบวัดพระธรรมกาย จำนวนกว่า 10 ประตู มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย, ตำรวจ และพระภิกษุ คอยสังเกตการณ์

ทั้งนี้ ที่ประตู 5 ภายในวัดพระธรรมกาย ใกล้เคียงกับอาคารคุณยายจันทร์ ขนนกยูง ได้มีลูกศิษย์ของวัดพระธรรมกายนำป้ายมาติดจำนวน 4 ป้าย มีข้อความว่า หลวงพ่อช่วยกอบกู้พระศาสนา เราชาวพุทธขอร่วมกันปกป้องหลวงพ่อ, เรายอมตายเพื่อหลวงพ่อของเรา , ชาวพุทธรวมใจ ขอความโปร่งใสให้หลวงพ่อ และ Blaming innocent monk is a severe sin
นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย พร้อมด้วย รท.นพ.ชูชัย พรพัฒนาพันธุ์ แพทย์ผู้รักษาอาการอาพาธพระธัมมชโย ร่วมกันแถลงข่าวถึงอาการอาพาธของพระธัมมชโย และการรักษาความปลอดภัยภายในวัดพระธรรมกาย

นายองอาจกล่าวว่า ประตูเข้า-ออกวัดบางส่วนจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพื่อป้องกันมือที่ 3 แต่ไม่มีการควบคุมผู้เข้า-ออกหรือกีดกั้นสื่อมวลชนเข้าพื้นที่ เป็นเพียงการคัดกรองเท่านั้น

ลูกศิษย์ยันไม่หนีนะจ๊ะ

“รถแบ็กโฮที่มาจอดขวางอยู่หน้าวัด น่าจะเป็นของลูกศิษย์ที่ห่วงใยพระธัมมชโย แต่เรายืนยันไม่ได้ขัดขวางหากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะเข้ามาที่วัด คณะลูกศิษย์เรือนหมื่นที่เข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดจะไม่ขัดขวางและไม่มีเหตุวุ่นวายแน่นอน รวมทั้งพระธัมมชโยก็ยังอยู่ในวัดตลอดเวลา ไม่ได้หลบหนีไปไหนตามที่มีข่าวลือ” โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายกล่าว

ส่วน รท.นพ.ชูชัย กล่าวถึงอาการอาพาธของพระธัมมชโยว่า พระเดชพระคุณฯ มีอาการอาพาธเรื้อรังมานานหลายโรค ทั้งอาการหลอดเลือดดำที่ขาอุดตันเรื้อรังและเฉียบพลัน เบาหวาน แผลเรื้อรังที่เท้า ขาซ้ายบวมมาก จำวัดได้น้อย มีอาการอ่อนแอ แพทย์ต้องให้ยาสลายลิ่มเลือดชนิดรุนแรง จึงจำเป็นต้องให้พัก ไม่อยู่ในสภาวะพร้อมให้เคลื่อนย้ายไปไหน เกรงจะมีภาวะแทรกซ้อน

“เมื่อวานที่ผ่านมาที่กำหนดเส้นตายของดีเอสไอให้พระธัมมชโยมอบตัวระหว่างที่เคลื่อนย้ายจากเตียงผู้ป่วยในห้องปลอดเชื้อเพื่อขึ้นรถพยาบาลของวัดที่เตรียมไว้ เกิดอาการลมดันขึ้น มึน และวูบไป แพทย์จึงต้องฉีดยาแก้เวียนศีรษะ ประมาณเวลา 14.00 น. ทีมแพทย์จึงประชุมร่วมกับ สภ.คลองหลวง และในเวลา 15.00 น. แพทย์และทนายความจึงมีความเห็นว่าพระธัมมชโยไปพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอไม่ไหว แต่เวลา 16.00 น. พระธัมมชโยพยายามฝืนเพื่อจะไปพบดีเอสไอ แต่ได้รับข้อมูลจากทีมทนายความว่าดีเอสไอ ออกจาก สภ.คลองหลวงไปแล้ว จึงไม่ได้มีการติดต่ออีก ซึ่งแพทย์ผู้รักษาอาการพระธัมมชโยบอกว่าอาการล่าสุดวันนี้ อาการเวียนหัวดีขึ้น แต่มีอาการโคลงอยู่” รท.นพ.ชูชัยกล่าว

แพทย์ผู้รักษาอาการอาพาธพระธัมมชโยยืนยันว่า ทางวัดมีเครื่องมือการแพทย์มีศักยภาพในการดูแล หากเกินกำลัง มีการประสานกับ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ไว้เรียบร้อยแล้ว หากทีมแพทย์ภายนอกอยากเข้ามา ตรวจวินิจฉัยโรค ก็พร้อมและยินดี รวมถึงการไปร้องต่อแพทยสภา ยินดีเพื่อมายืนยันคำวินิจฉัยโรค

น.ส.ลีลาวดี วัชโรบล อดีต ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย หนึ่งในลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้โพสต์เฟซบุ๊กที่มีรูปภาพรถทหารที่มาจอดและกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมข้อความว่า “แหม…ช่างเป็นภาพที่เหยียบหัวใจชาวพุทธได้ดีจริงๆ… วินาทีต่อไปนี้ ขอถามไปถึงใจของผู้ประกาศตัวว่าเป็นชาวพุทธด้วยเถอะ…พระอาพาธผู้ชราอายุ 72 ปี ที่ท่านสั่งสอนให้คนรักบุญกลัวบาป ท่านไม่มีแรงจะหนีไปไหน ท่านบอกแล้วว่าพร้อมตายในวัด แต่ดูสิ่งที่พวกท่านทำ มาวันนี้บนแผ่นดินที่คนไทยบอกว่าเป็นเมืองพุทธเป็น (ศูนย์กลางพุทธโลก) แต่กลับปล่อยให้คนพาลมารังแกพระชรา วันแล้ววันเล่า ท่านจะวางเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือจะพร้อมใจหันหน้ามาวัดกันตอนนี้คะ”

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่วัดพระธรรมกายช่วงเย็นรอบทางเข้าวัดพระธรรมกาย ยังคงมีสาวกศิษยานุศิษย์เเวะเวียนเข้ามาอยู่ตลอด โดยประตูทางเข้าหลักแต่ละจุดยังคงเปิดให้รถสัญจรเข้า-ออก และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวัดในแบบปกติ มีเพียงทางเข้าวัดฝั่งถนนเลียบคลองสาม ยังคงมีรถแบ็กโฮมาปิดกั้นทางเข้า-ออกเช่นเดิม รวมทั้งประตูที่อยู่ถัดไป และอยู่ระหว่างก่อสร้าง มีการนำเเผ่นปูนยาวมาวางกั้นพร้อมกับปิดประตูที่เป็นลูกกรงอีกชั้น โดยมีการนำมวลชนและพระหมุนเวียนกันมาเฝ้าทั้งด้านในและด้านนอก และมีรถคอยขี่วนเวียนตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา

ทั้งนี้ สำหรับการเข้ามาทำข่าวของสื่อมวลชนนั้น จะตั้งจุดลงทะเบียนบริเวณหน้าสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ให้ลงชื่อ สำนักที่สังกัด พร้อมกับแจกปลอกเเขนสีส้มเขียนระบุสำนักสื่อทุกสำนัก และเป็นที่น่าสังเกตว่า ทางวัดพระธรรมกายเองก็ได้จัดเจ้าหน้าที่ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง สวมเสื้อขาว ใส่ปลอกเเขนสีน้ำเงิน ระบุว่า “Staff ต้อนรับ สื่อมวลชน” อยู่บริเวณโดยรอบของวัด ทั้งที่เดินไปมาและนั่งรถยนต์คอยตรวจตราบริเวณภายในรอบถึงขนาดร่วมนั่งไปในรถยนต์ของสำนักข่าว เพื่อควบคุมดูแล ประกอบกับมีการขับรถยนต์คอยติดตามรถข่าวที่สำรวจบริเวณโดยรอบ จนถึงช่วงค่ำก็ค่อยเริ่มทยอยแยกย้ายกันกลับ ทั้งนี้ คาดว่าทางวัดได้ใช้มาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยแบบเข้มงวด เพื่อป้องกันการแอบแฝงเข้ามาจับกุมพระธัมมชโยของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมฝ่ายความมั่นคง ร่วมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และตัวแทนหน่วยงานความมั่นคง

‘จตุพร’ โวย DSI ลุอำนาจ

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมตอนหนึ่งว่า ที่ประชุมหน่วยงานความมั่นคงได้มีการรายงานสถานการณ์ปัญหาวัดพระธรรมกาย ที่พระธัมมชโย ไม่ยอมเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับดีเอสไอ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ได้สั่งการต่อที่ประชุมว่า ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นไปตามกฎหมาย

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของดีเอสไอ เรื่องนี้ก็เป็นคดีเล็กๆ คดีหนึ่ง อย่าไปคิดใจอะไรให้มาก ให้ถือเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ต้องติดตามดำเนินการ

นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เรียกร้องว่า เมื่อมีการออกหมายจับ ก็ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยต้องพยายามหาทางจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ได้ แม้การดำเนินการกับพระธัมมชโย ซึ่งมีสถานะเป็นภิกษุ ด้านหนึ่งก็สามารถใช้กลไกการปกครองคณะสงฆ์ดำเนินการควบคู่ไปด้วยกันได้ สิ่งสำคัญคือการนำตัวพระธัมมชโยมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้

“ส่วนตัวขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่มีการปฏิบัติการตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะเมื่อเทียบเคียงกับคดีเดียวกันแล้ว นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ถูกปฏิบัติอย่างไร พระธัมมชโยก็ควรต้องเป็นไปตามบรรทัดฐานเดียวกัน การที่กลุ่มวัดพระธรรมกายมีเหตุผลต่างๆ นานา เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพระธัมมชโย” นายไพบูลย์กล่าว

เขากล่าวว่า หากพระธัมมชโยดื้อแพ่ง ก็จะเป็นการท้าทายกระบวนการตามกฎหมายที่ไม่สามารถมีผลบังคับใช้ต่อพื้นที่วัดพระธรรมกายอย่างนั้นหรือ กฎหมายต้องสามารถบังคับใช้ได้ทุกตารางนิ้วในประเทศ และทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องทำให้เป็นไปได้ เพราะหากไม่สามารถทำได้ ผู้กุมอำนาจรัฐก็จะไม่สามารถตอบคำถามต่อสังคมได้เช่นกัน

[ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์ และภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต]

280559-บทความ-ปกป้อง-ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์-มันต่างกันกับ-ปกป้องอลัชชี-ว (1)280559-บทความ-ปกป้อง-ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์-มันต่างกันกับ-ปกป้องอลัชชี-ว (3)280559-บทความ-ปกป้อง-ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์-มันต่างกันกับ-ปกป้องอลัชชี-ว (2)