ชอบ ชอบ ชอบ แชร์นะจ๊ะ

0
80

ชอบ ชอบ ชอบ แชร์นะจ๊ะ
๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙
210559-บทความ-ชอบ-ชอบ-ชอบ-แชร์นะจ๊ะ

ถึงขั้น ‘พระขายชาติ’ ได้อย่างไร?
วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม 2559
เมื่อวาน ๒๐ พฤษภา “วันวิสาขบูชา”
สำคัญขนาดนั้น……..
แต่พระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระรูปหนึ่ง และหนึ่งเดียวในประเทศ ที่ “สมเด็จช่วง” ผู้เป็นอาจารย์
ต้องหอบพัดยศไปมอบให้ลูกศิษย์ ที่มีนามตามสัญญาบัตรประกอบพัดยศสมณศักดิ์ ว่า…..
“พระเทพญาณมหามุนี ศรีธรรมโกศล โสภณภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”
ถึงที่วัด เมื่อปี ๒๕๕๔!
และไม่เคยปรากฏเลยว่า พระราชาคณะชั้นเทพรูปนี้ ได้ทำหน้าที่พระสังฆาธิการ ด้วยการร่วมประกอบศาสนกิจในวันสำคัญๆ ทั้งงานรัฐพิธีและงานคณะสงฆ์ ดังพระราชาคณะทั่วไปต้องปฏิบัติ
บอกชื่อ “พระเทพญาณมหามุนี” บางคนอาจไม่รู้ว่าใคร?
ต้องบอกว่า คือ ธัมมชโย หรือ สมีโย จึงจะ…อ๋อ!
ประเด็นที่ผมยกมาพูด เรื่องไม่ปฏิบัติหน้าที่พระสังฆาธิการ นั่นเป็นเรื่องรอง
เรื่องหลัก คือ ธัมมชโย นอกจากเอาแต่สมณศักดิ์ เอาแต่กิ๊กกั๊กมหาเถรฯ ใช้คราบธรรมทูตขยาย “อาณาจักรธรรมกาย” ไปสอดไส้ “วัดไทยในต่างประเทศ” หลายแห่งแล้ว
ที่ผมอยากให้สังเกต เพื่อเป็น “แนวทาง” สำหรับ DSI ได้ทำตามช่องของสงฆ์ประกอบด้วย
คือเป็นที่ประจักษ์ชัด ธัมมชโย วางตนอยู่เหนือ “อำนาจปกครอง” ระดับคณะสงฆ์จังหวัดปทุมธานีมาตลอด
พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ระบุชัด อย่างวัดพระธรรมกาย อยู่ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
ทั้งด้านพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรฯ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช คำสั่งของผู้บังคับบัญชาเหนือตน รวมทั้งอธิกรณ์ คือคดีความต่างๆ
“วัดพระธรรมกาย-ธัมมชโย” อยู่ในอำนาจปกครอง “พระเจ้าคณะตำบล-เจ้าคณะอำเภอ-เจ้าคณะจังหวัด” ดังกล่าว
ดังนั้น การที่สมีโยต้องอธิกรณ์ คือคดี ซ้ำพระในวัดร่วมกันปกปิดที่หลบซ่อน และกล่าวมุสา
เช่น กล่าวอ้างว่าป่วยหนัก มีใบรับรองแพทย์ แต่แท้จริง เป็นใบรับรองแพทย์เก๊ เป็นต้น!
เหล่านี้ ทางหนึ่ง ตอนนี้ DSI ยึดกฎหมาย-กฎระเบียบ ในการติดตามตัวสมีโยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
แต่อีกทางหนึ่ง สมีโย ในคราบพระ อยู่ใต้ “อำนาจปกครอง” ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ด้วย
ดังนั้น ในความเห็นผม DSI ควรเดินในช่องทางปกครองสงฆ์ด้วย ไปแจ้งเรื่องต่อพระเจ้าคณะตำบลคลองสาม ตามลำดับถึงเจ้าคณะอำเภอ และจังหวัด
ว่าสมีโยต้องคดีอย่างนี้…อย่างนี้…โปรดประชุมชำระอธิกรณ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย และส่งตัวให้ทางการด้วย!
เนี่ย…ถ้าเดินตามช่อง……….
ที่ “มหาเถรสมาคม” เฉย ถือธุระไม่ใช่มาตลอด จะเฉยต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เพราะ “ไฟ” ที่ไหม้ เริ่มลามติดล้อเบนซ์ ขม 99 แล้ว
สงฆ์ปกครอง ต้องเรียกสมีโยไปสอบอธิกรณ์ ไปตรวจสอบที่วัด ว่าป่วยจริง-ตัวตนยังอยู่มั้ย เรื่องราวมันยังไงกัน
หรือขี่จานบินไปอยู่กับสตีฟ จอบส์ตั้งนานแล้ว?
๕ มาสก ก็ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระแล้ว แต่นี่ร่วมขบวนการยักยอก-ฟอกทรัพย์เป็นพันๆ ล้าน ทางการก็ออกหมายจับ ตามล่าตัว มัวหมองพระพุทธศาสนา
แล้วทางปกครองสงฆ์ จะนิ่งเฉย ไม่ยถา สัพพี อะไรเลย ดูจะกระไรอยู่
แต่เพราะทางการไม่มาแจ้งอธิกรณ์แก่ทางปกครองสงฆ์เอง นั่นตะหาก ในเมื่อไม่มีโจทก์ แล้วจะมีจำเลยได้อย่างไรกัน
เหมือนไม่ยกประเคน พระฉันไม่ได้ อะไรประมาณนั้น!
ทุกวันนี้ สมีโย เส้นใหญ่-ปัจจัยหนา พูดง่ายๆ อำนาจระดับ ตำบล-อำเภอ-จังหวัด ไม่อยู่ในสายตา
มีอะไรก็ โน่น…ข้ามหัวไปถึง เจ้าคณะภาค ๑ “พระราชวิสุทธิเวที” วัดชนะสงคราม
เหนือขึ้นไปกว่านั้น ไปที่ “สมเด็จพระพุทธชินวงศ์” เจ้าคณะใหญ่หนกลาง วัดพิชยญาติการามวรวิหาร
หรือพรวดเดียวถึง “เหนือสุด” ได้ทุกเวลายิ่งกว่า 7-Eleven
ก็ที่ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” ผู้ปฏิบัติหน้าที่พระสังฆราช ประธานมหาเถรสมาคม
ที่สำคัญ เป็นพระอุปัชฌาย์ คือผู้บวช “นายไชยบูลย์ สุทธิผล” เป็น “พระไชยบูลย์ ธัมมชโย”
และสำคัญไปกว่านั้น สมเด็จช่วงประกาศท่ามกลางหมู่สงฆ์และคณะอุบาสก-อุบาสิกา ได้ยินกันทั้งโลก ว่า
“วัดปากน้ำ-วัดพระธรรมกาย” เป็นวัดพี่-วัดน้อง “มีอะไรต้องช่วยเหลือกัน”!
เพราะสมีโยผู้ต้องหากระสันฟั่นเกลียวกับอำนาจเหนือฝ่ายคณะสงฆ์เช่นนี้
ที่หวังจะให้ฝ่ายมหาเถรฯ เอาธุระ “ตีโอบ” ผู้ต้องหาให้มาเข้าอวน-เข้าแห ทั้งกระบวนการสงฆ์และกระบวนการยุติธรรม
มันยาก……….
ถ้าไม่ยึด “เส้นทาง พ.ร.บ.สงฆ์” ค้ำคอ ตั้งแต่ระดับผู้ต้องหา ไปจนถึงฝ่ายปกครองตาม พ.ร.บ.สงฆ์ ให้จำต้องขยับ!
ดูพระวัดธรรมกายซี………
วันแรกๆ “พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส” ผอ.สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย แถลง
“หลวงพ่อป่วยจริง ใบรับรองแพทย์จริง”
วันต่อมา พอ DSI ยันปัง….”ใบรับรองแพทย์เก๊-ป่วยเก๊”
วันรุ่งขึ้น มุสา ๑ หลบหน้าไป พระมหานพพร ปุญฺญชโย ผู้ช่วย ผอ.มาทำหน้าที่ มุสา ๒ แทน
ตามติดด้วยมุสา ๓ “พระนพดล สิริวํโส” ออกมาด้วยกระบวนท่าทักษิณขายเมือง โพสต์เฟซบุ๊กด้วยข้อความว่า
“ขอเชิญลงชื่อในคำร้องของทำเนียบขาวเพื่อช่วยหลวงพ่อธัมมชโย ถ้ามีคนลงชื่อถึง 100,000 คน ภายในวันอาทิตย์ที่ 17 มิ.ย. ท่านประธานาธิบดีโอบามา และคณะจะมาพิจารณาโดยตัวท่านเอง ตอนนี้ต้องการลายเซ็น 100,000 ชื่อ โดยเร็วที่สุด”
นี่ถ้าไม่เห็นแก่ “ผ้าเหลือง” ผมสวมวิญญาณ “น้องเมย์” เอาให้ตายไปแล้ว!
ทำเป็นพระเคร่ง-พระปฏิบัติ วันๆ ฉันแล้วก็เล่นแต่เฟซ ลำพังเล่นเฟซก็เหลือฝืนอยู่แล้ว
แต่นี่…ศิษย์ธรรมกาย หรือศิษย์ผีนรกระบอบทักษิณกันแน่?
ด้วย “ชาติ-พระศาสนา-พระมหากษัตริย์”
เป็นทั้งรูปธรรม-นามธรรม ที่หลอมรวมจิตวิญญาณเป็น “ชาติไทย-คนไทย-ประเทศไทย”
แต่เพียงเพื่อ “โจรในคราบผ้าเหลือง”………..
ผีนรกในนามพระ เปิดประตูบ้าน ตลบตะแลง หลอกลวงคน ให้ช่วยกันกวักมือเรียก “คนต่างชาติ-ต่างศาสนา-ต่างบ้าน-ต่างเมือง”
ให้เข้ามา “เหยียบ-ยึด” ทุกสิ่งทุกอย่างในความเป็นชาติบ้านเมืองตัวเอง!
แถมมุสา ๒ ออกมารับลูก………
“เป็นเหมือนแคมเปญในอินเทอร์เน็ต ส่วนตัวเองหลวงพี่เองก็ยังไม่ทราบว่าจะมีผลขนาดไหน เป็นเรื่องจะสะท้อนในเรื่องของความความรัก ความสัมพันธ์ และความเชื่อมั่นในตัวพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย”
เออ…ทั้งพระ-ทั้งผี เป็นเหมือนกันหมด………..
“เพื่อตัวเอง” ยอมขายกระทั่งชาติบ้านเมือง อยู่ก็รก ตายก็รก ยิ่งมีผ้าเหลืองคลุม แล้วประพฤติแบบนี้
ขุมลึกสุด ด้วย “อนันตริยกรรม” นั่นแหละ สวรรค์ของมนุษย์พรรค์นี้!
เจ้าตัว “หลวงพ่อ” นั่นแหละ ลงสวรรค์ก่อน…….
เห็นมั้ย สัญญาณ “แผ่นดินสูบ” มาให้เห็นแล้ว ยังไม่รู้สำนึก ที่ขาเน่า-ตีนเน่า เดินไม่ได้นั่นน่ะ
เหมือนพระเทวทัต อาพาธอยู่บนเตียง หามไป… พอตีนแตะแผ่นดินก็…จ๊วบ
นี่เหมือนกัน ที่ว่า ขาบวม-ตีนบวม และเน่าเฟะ ไม่กล้าเดิน หรือเดินไม่ได้ ก็คงมีส่วน แต่จะหนักหนาตามโปรโมชันหรือเปล่าไม่ทราบ
แต่อนุมานว่า คงกลัวถูกแผ่นดินสูบ ไม่กล้าเอาตีนแตะดิน แต่ด้วยโทษแปลงพระธรรมวินัย แยกทำลายสงฆ์ เริ่มส่งผล
ยังไม่แตะ ก็ยังไม่ถูกสูบ………
แต่ค่อยๆ บวม ค่อยๆ เน่า…เน่า…เน่า.. จากตีน ขึ้นไปขา เรื่อยไปถึงลำตัว!
อย่านึกว่าพูดเล่นเห็นเป็นขำ ยังสงฆ์ให้แตกแยก แปลงพระธรรม ก็ร้ายทะลุขั้วนรกอยู่แล้ว
และนี่…บรรดาศิษย์สมี ยังโพสต์ fb ชักน้ำเข้าลึก-ชักศึกเข้าบ้าน เจตนายังประเทศให้แตกแยกเพื่อหลวงพ่อสมีเข้าไปอีก
แคมเปญนี้ ไม่ได้สะท้อนความรัก-ความสัมพันธ์-ความเชื่อมั่น อย่างที่มุสา ๒ กล่าวอ้างหรอก
แต่เป็นแคมเปญสะท้อน “ห่มผ้า แต่ไม่ห่มธรรม”
…..ยำ พอกัน!
[ขอคุณข้อมูลจาก : https://www.thaipost.net/?q=plew.seengern]
——————————————
ที่จริงไอ้ลัทธินี้มันขายชาติ กินรวบศาสนามานานแล้ว
ไม่ใช่เช่นนั้นมันจะส่งบริวารมันไปยึดวัดเก่า วัดร้าง ที่อยู่ในทำเลทีตั้งเจริญๆ ดูดเงิน ดูดทองจากคนรอบวัดได้ง่ายๆ หรือ
แม้พระพุทธรูปเก่าๆ ที่เป็นสมบัติของวัดมันก็นำออกขายเพื่อนำเงินส่งให้สำนักงานใหญ่ (ข้อมูลนี้มีเจ้าคณะอำเภอทางใต้มาร้องเรียนแจ้งให้ฉันทราบ)
หากพื้นที่ใดไม่มีวัดร้าง แต่เป็นทำเลดี สามารถดูดเงินทองจากถิ่นนั้นๆ ได้ ลัทธิอุบาทว์นี้มันก็จะส่งคนที่มีอำนาจมีอิทธิพลในพื้นที่เข้าไปพูดชักชวนจนถึงข่มขู่คุกคาม บีบบังคับให้เจ้าของที่ยอมขาย
โดยไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อน แม้จะอยู่ใกล้กับวัดในพื้นที่ ซึ่งกฎหมายกำหนดห้ามไว้ไม่ให้สร้างวัดใกล้กัน
ลัทธิอุบาทว์นี้มันก็ไม่สน มันไปทำที่พักสงฆ์ ที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา จนวัดใกล้เคียงเดือดร้อน อดอยากปากแห้งกันเป็นแถว
ลัทธินี้นอกจากมันจะกินรวบศาสนจักรด้วยการจัดซื้อจัดจ้างนักบวชผู้ใหญ่ทุกๆ ปี ไม่เว้นแม้แต่กรรมการมหาเถรเอาไว้เป็นพวก
เพราะเช่นนี้มันถึงได้ผยองกำเริบเสิบสาน ขยายสาขาออกไปทั่วประเทศ โดยไม่สนใจว่าในพื้นที่นั้นๆ จะมีวัดท้องถิ่นตั้งอยู่แล้ว
หากมันบริสุทธิ์ใจจริงคิดว่าจะเผยแพร่พระธรรมวินัยให้กว้างไกล ทำไมมันถึงได้ไปตั้งสำนักอยู่ใกล้ๆ วัดเดิมล่ะ
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมันต้องการลาภสักการะในพื้นที่นั้นๆ ที่มีเศรษฐกิจดี
แต่ในถิ่นทุรกันดาร ทำเลไม่ดี ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในที่ดินนั้นๆ ได้ ลัทธินี้มันก็ไม่ไปตั้งสำนัก ไม่ไปลงทุนซื้อที่ดิน
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว หากขืนปล่อยลัทธิอุบาทว์นี้เอาไว้มีแต่จะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงทางพระธรรมวินัย
หากสาวกยินยอมกลับตัวกลับใจ หันมาประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตรงตามหลักพระธรรมวินัย ถือว่าพอยังเป็นที่ยอมรับได้
แต่ถ้ายังดื้อดึงดัน ใช้มายาคติของตนเองเป็นใหญ่ มโนเอาเองโดยไม่สนใจขนบธรรมเนียมปฏิบัติตามบทบัญญัติในอริยวินัย ทั้งยังย่ำยีดูถูกอยู่เช่นนี้ล่ะก็
คงต้องไล่ให้ไปหาที่อยู่ใหม่ หรือไม่ก็ไล่ให้ไปตั้งลัทธิใหม่ของตนเองตามชอบใจ
เพราะพุทธศาสนิกชนในศาสนานี้ เขาเคารพยอมรับแต่ธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน หากเจ้าลัทธิอลัชชีบอกว่าสิ่งที่ตนสอนคือใบไม้นอกกำมือของพระพุทธเจ้า อย่างนั้นก็อย่ามาใช้คำว่าพุทธศาสนา

พุทธะอิสระ
[ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต]