คนโกหก ต้องตกนรก

0
168

คนโกหก ต้องตกนรก
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙

130559 บทความ คนโกหก ต้องตกนรกเห็นพวกบรรดาลิ่วล้อทาสธรรมกายเดินสายขอความเป็นธรรมทำให้เจ้าลัทธิอลัชชีธัมมชโย
ฉันนึกถึงหมาแมวขี้เรื้อนที่เคยรักษา พออากาศร้อนก็ทุรนทุราย ร้องครวญครางเพราะปวดแสบปวดร้อนแผลที่เน่าเปื่อยพุพอง หนองไหล

ไหนจะแมลงวันตอม ไหนจะแมลงหวี่ไช ไหนจะมีหมู่หนอนไชชอนกัดกินภายใน

ยิ่งอากาศร้อนแล้ง แห้ง แผลเน่าเปื่อยก็จะรัดรึงตึง หนังรัดแผลให้ยิ่งเจ็บแสบคันสุดแสนจะทรมาน

หมาแมวทั้งหลายมันจึงเที่ยววิ่งร้องครวญคราง ดิ้นรนแสวงหาที่เย็น ๆ สำหรับซุกหัวนอนเพื่อความอยู่รอด

ที่เล่ามาเสียละเอียดก็เพราะเคยรักษาให้กับหมาแมวขี้เรื้อนมาหลายตัว

วิธีรักษาก็ไม่ยาก เอาน้ำมันมะพร้าวผสมไพล ขมิ้น และเมนทอล

ทาชโลมให้ทั่วตัว ทำซ้ำทุกวันจนครบ ๗ วัน อาการก็จะดีขึ้น

แต่คนขี้เรื้อนที่เน่าจากข้างในนี่สิ จะรักษายากหน่อย

เพราะอาการเน่าเป็นขี้เรื้อนมันจะเป็นมาจากภายใน

เช่น หูเน่า สมองเน่า หัวเน่า ตาเน่า จมูกเน่า ตับไตไส้ปอด แขนขา อวัยวะภายในที่เน่ามีอาการทุรนทุรายอย่าน่าสมเพชยิ่งนัก

แม้จะรักษายากซักหน่อย แต่ก็มีสิทธิรักษาให้หายได้

แต่พวกใจเน่า สมองเน่า ความเห็นเน่า พวกนี้ ไม่มีโอกาสจะรักษา ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า ชาติไหน ๆ

ไม่ว่าจะกี่ภพ กี่ชาติ อาการเน่าในอย่างนี้ก็จะติดตามตัวไป

แม้จะได้หมอดี มียาดี การรักษาพยาบาลที่ดี

สุดท้ายเมื่อมาเจอโรคใจเน่า ความเห็นเน่า สมองเน่า แล้วไม่ยอมรับว่าเน่า ก็สุดจะเยียวยา

คนพวกนี้พออาการเน่ากำเริบก็จะทำทุกอย่างเพื่อหวังให้รอด ไม่เว้นแม้แต่โกหก ตลบตะแลง ลวงโลก เข้าก็จักพยายามดิ้นรนหาทางรอด

ทำถึงขนาดกระเสือกกระสนไปขอร้อง ร้องขอความเป็นธรรมจากสารพัดหน่วยงาน

ด้วยข้ออ้างว่าถูกอิจฉา ถูกกลั่นแกล้ง ถูกใส่ร้าย

แต่ไม่พูดถึงตนที่เป็นเหตุแห่งโรค

ไม่พูดถึงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดโรค

ไม่พูดถึงอาการเน่าในของจิตใจ ความเห็น และสมองของคนเป็นโรค

ทั้งยังไม่ยอมรับว่าตนเป็นโรค

แต่ดันไปโทษโน่นนี่นั่น บิดเบือนกลบเกลื่อนโรคเน่าในของตนอยู่ตลอดเวลา

ทำให้ฉันนึกถึงพระสูตรที่ชื่อว่า “เปรียบคนที่ถูกลูกศร” ขึ้นมาได้

พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้ท่านมาลุงกยบุตรเห็นโทษของคนไม่ยอมรับความจริงว่า
————————————-

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
เปรียบคนที่ถูกลูกศร

[๑๕๐] ดูกรมาลุงกยบุตร
บุคคลใดแลจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยากรณ์แก่เรา ฯลฯ เพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น ตถาคตไม่พึงพยากรณ์ข้อนั้นเลย และบุคคลนั้นพึงทำกาละไปโดยแท้

ดูกรมาลุงกยบุตร เปรียบเหมือนบุรุษต้องศรอันอาบยาพิษที่ฉาบทาไว้หนา มิตรอมาตย์ ญาติสาโลหิตของบุรุษนั้น พึงพาไปหานายแพทย์ผู้ชำนาญในการผ่าตัดมาผ่าให้แก่บุรุษผู้ต้องศรนั้น

บุรุษผู้ต้องศรนั้นได้กล่าวอย่างนี้ว่า
เรายังไม่รู้จักบุรุษผู้ยิงเรานั้นว่าเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ หรือศูทร …
มีชื่อว่าอย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ …
สูงต่ำหรือปานกลาง … ดำขาวหรือผิวสองสี …
อยู่บ้าน นิคม หรือนครโน้น เพียงใด
เราจักยังไม่นำลูกศรนี้ออกเพียงนั้น
บุรุษผู้ต้องศรนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
เรายังไม่รู้จักธนูที่ใช้ยิงเรา
ว่าเป็นชนิดมีแหล่งหรือเกาทัณฑ์ …

สายที่ยิงเรานั้นเป็นสายทำด้วยปอผิวไม้ไผ่ เอ็น ป่านหรือเยื่อไม้

ลูกธนูที่ยิงเรานั้น ทำด้วยไม้ที่เกิดเองหรือไม้ปลูก
หางเกาทัณฑ์ที่ยิงเรานั้น เขาเสียบด้วยขนปีกนกแร้ง นกตะกรุม เหยี่ยว นกยูงหรือนกชื่อว่า สิถิลหนุ (คางหย่อน) …

เกาทัณฑ์นั้นเขาพันด้วยเอ็นวัว ควาย ค่างหรือลิง …

ลูกธนูที่ยิงเรานั้น เป็นชนิดอะไร ดังนี้ เพียงใด
หากเรายังไม่รู้ความจริงในสิ่งเหล่านี้
เราจักไม่นำลูกศรนี้ออกเพียงนั้น
ดูกรมาลุงกยบุตร
บุรุษนั้นพึงรู้ข้อนั้นไม่ได้เลย
โดยที่แท้บุรุษนั้นคงต้องทำกาละไปก่อนแน่แท้
ดูกรมาลุงกยบุตร บุคคลใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคจักไม่ทรงพยากรณ์ทิฏฐิ ๑๐ นั้น ฯลฯ แก่เราเพียงใด

เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพียงนั้น

ข้อนั้นตถาคตไม่พยากรณ์เลย
เพราะบุคคลนั้นคงทำกาละไป ฉันนั้น.

[๑๕๑] ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกเที่ยง ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น.

ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกไม่เที่ยง ดังนี้
จักไม่มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่.

ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า โลกเที่ยง หรือว่า โลกไม่เที่ยงอยู่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็คงมีอยู่ทีเดียว
เราจึงบัญญัติความเพิกถอนชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสในปัจจุบัน.

ดูกรมาลุงกยบุตร
เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด ดังนี้
จักได้มีการอยู่ ประพฤติพรหมจรรย์หรือก็ไม่ใช่อย่างนั้น.

ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกไม่มีที่สุด ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่.

ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด หรือว่า โลกไม่มีที่สุดอยู่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็คงมีอยู่ทีเดียว เราจึงบัญญัติความเพิกถอนชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาสในปัจจุบัน.

ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น.

ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ดังนี้ จักได้มีการประพฤติพรหมจรรย์หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่

ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่งอยู่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็คงมีอยู่ทีเดียว
เราจึงบัญญัติความเพิกถอนชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ในปัจจุบัน.

ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ ก็มิใช่อย่างนั้น.

ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ ดังนี้
จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่.

ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ หรือว่าสัตว์เบื้องหน้า แต่ตายไปไม่มีอยู่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็คงมีอยู่ทีเดียว
เราจึงบัญญัติความเพิกถอน ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ในปัจจุบัน.

ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น.

ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่ ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่.

ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี หรือว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่ ดังนี้
ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ อุปายาส ก็คงมีอยู่ทีเดียว เราจึงบัญญัติความเพิกถอน ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสในปัจจุบัน.
————————————-
สรุปว่าพระสูตรบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปรียบชาติ ชรา มรณะ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ดุจดังลูกศรที่อาบด้วยยาพิษที่ชื่อความเห็นผิด ปักอกของสัตว์และบุคคลอยู่

หากสัตว์และบุคคลนั้น ๆ ยังมัวมีมิจฉาทิฏฐิ เสียเวลาไล่ถามหาแต่เรื่องอื่นๆ คนอื่น ๆ สิ่งอื่น ๆ และเหตุอื่นๆ ด้วยมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิดอยู่

สุดท้ายก็ต้องตกตายเสียเปล่า

จงปฏิบัติตามบทบัญญัติ คือ พระพุทธธรรม เพื่อเพิกถอนศรที่ปักอก คือ

ชาติ ชรา มรณะ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ออกจากอกให้ได้ด้วยพุทธธรรม ด้วยหลักสัมมาทิฏิฐิ
————————————-

ปัญหาที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์และไม่ทรงพยากรณ์

[๑๕๒] ดูกรมาลุงกยบุตร เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายจงทรงจำปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ โดยความเป็นปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ และจงทรงจำปัญหาที่เราพยากรณ์ โดยความเป็นปัญหาที่เราพยากรณ์เถิด.

ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์

ดูกรมาลุงกยบุตร ทิฏฐิว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง
โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด
ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น
ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่
ก็หามิได้ ดังนี้ เราไม่พยากรณ์.

ดูกรมาลุงกยบุตร ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย
เพื่อความคลายกำหนัด
เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ข้อนั้น.

ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่า ที่เราพยากรณ์

ดูกรมาลุงกยบุตร ความเห็นว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้ เราพยากรณ์.

ก็เพราะเหตุไร เราจึงพยากรณ์ข้อนั้น
เพราะข้อนั้น ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
เหตุนั้นเราจึงพยากรณ์ข้อนั้น.

เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงทรงจำปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ โดยความเป็นปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ และจงทรงจำปัญหาที่เราพยากรณ์ โดยความเป็นปัญหาที่เราพยากรณ์เถิด.

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระมาลุงกยบุตร ยินดีชื่นชม พระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.
————————————-

พระสูตรตอนนี้สรุปเพื่อให้เข้าใจง่าย ได้ความว่า

พระพุทธเจ้าจะไม่พยากรณ์ใคร สิ่งใด ด้วยเพราะเหตุอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร

หากการพยากรณ์นั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งพรหมจรรย์

ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย
ไม่เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
ไม่เป็นไปเพื่อความดับ
ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ
ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง
ไม่เป็นไปเพื่อความตรัสรู้
ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน
พุทธะอิสระ