โกหก ต้องตกนรก
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ตื่นเถิดชาวพุทธ – Wake Up Buddhist
6 พฤษภาคม 2559 เวลา 13:03 น.
@@@@พยานผู้เห็นเหตุการณ์ก่อนหลวงพ่อโดนวางยา@@@@
ผมเป็นพยานยืนยันเหตุการณ์พร้อมข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นความจริงทุกประการ/ผมเป็นคนถ่ายทำวิดีโอนี้ช่วงกองปรามนำโคบ พล.ต.อ. วาสนา เพิ่มลาม.พ.ต.อ ทวี สอดส่อง,พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ฯลฯและแพทย์จาก รพ.ตำรวจ2ท่าน มาเชิญหลวงพ่อไปกองปราบ /ณ ที่อาคารภาวนา ขณะท่านนอนป่วยหนัก ไอพูดไม่ได้พูดไม่มีเสียง. ท่านนอนและเขียนให้คุณโค้กอ่านให้ตำรวจและหมอฟังถึง3ครั้งว่า”หลวงพ่อไม่หนีไปไหน หลวงพ่อดีขึ้นจะเดินทางไปกองปราบและศาล”แม้ครั้งที่ 3 ท่านเขียนอีก แต่พล.ต.อวาสนา บอกคุณโค้กว่า”พอๆไม่ต้องอ่าน หมอรพ.ตำรวจตรวจแล้วหลวงพ่อไม่เป็นอะไรมาก นิมนต์ไปเถอะครับ”/พอจ.ฐานะ ก้อพูดขึ้นมาว่า “ถ้าหลวงพ่อไป เกิดท่านเป็นอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ”ตำรวจเงียบ สุดท้าย หลวงพ่อจำต้องไป /***พอกลับวัดมาอาการป่วยหนักอาเจียนเป็นเลือด ต้องเข้ารพ.กรุงเทพ พูดไม่ได้กว่า7เดือน*** พร้อมโรคชุด จนถึงปัจจุบัน. ยังไม่เห็นมีใครมารับผิดชอบเลย ดังนั้นผมลูกพระธัมมฯร่วมสร้างวัดกับหมู่คณะ และหลวงพ่อธัมมชโยกว่า 27 ปี จึงยอมตายถ้า Dsi.ทหาร,รมต.ยุติธรรมกับพวก จะมารังแก่ท่านในรอบนี้ ต้องแลกด้วยชีวิต
TTU-Dom chaiyo
copy พี่หมอพู
https://youtu.be/P2FKLXaXqGk
————————————
เมื่ออ้างว่า เป็นพยาน เป็นหมอ
ท่านมีสิทธิจะไม่พูด ทุกเรื่องที่ท่านพูดจะกลายเป็นหลักฐานในศาล
หมอพู บอกว่า เจ้าลัทธิอลัชชี โดนวางยา มาจากหมอโรงพยาบาลตำรวจ และเป็นผู้เห็นเหตุการณ์
แถมยังบอกว่า พอกลับมาวัด เจ้าลัทธิ มีอาการป่วยหนักอาเจียนเป็นเลือด ต้องเข้าโรงพยาบาลกรุงเทพ พูดไม่ได้กว่า ๗ เดือน
วันนี้ พุทธะอิสระ เลยขอให้กองเลขา ค้นข้อมูล ข่าว ที่เกิดขึ้น เมื่อ ๑๗ ปีที่แล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ธัมมชโย ถูกวางยาจริงหรือเปล่า
และพูดไม่ได้ถึง ๗ เดือน จริงหรือเปล่า
ลองค้นหาจากแฟ้มข่าวดูจึงได้รู้ว่า ไอ้คนลัทธินี้มันโกหกจนเป็นสันดาน
ไม่เข้าใจว่า ต่อมละอายมันหายไปไหน
ตอนเด็กๆ พ่อแม่ให้กินอะไร ถึงได้หนาได้ขนาดนี้
พุทธะอิสระ
======================================
ลำดับเหตุการณ์ ธัมมชโย ยึกยักอ้างป่วยขอเลื่อนนัด ปี ‘๔๒
๔ ตุลาคม ๒๕๔๒
เมื่อวันที่ ๔ ต.ค. ๒๕๔๒ ถือเป็นวันที่สำคัญอีกครั้ง ในการสะสางปัญหาธรรมกาย โดยสำนักงาน อัยการสูงสุดจะตัดสินสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย และนายถาวร พรหมถาวร สาวกสนิท ที่ตำรวจกองปราบปรามยื่นกล่าวโทษดำเนินคดีไว้ ๓ ข้อหา ปรากฏว่าในเวลา ๙:๐๐น.ว่ ามีแต่นายถาวร พรหมถาวร ผู้ต้องหาเดินทางมารับฟังคำสั่งฟ้อง และมีนายสนธยา โพธิ์แดง ทนายความวัด ,นายเพทาย มณีไพโรจน์ นายประกัน,พล.อ.อ.วีรวุทธ วลเปารยะ ประธานไวยาวัจกร เดินทางมาเข้าพบนายวิเชียร วิริยประสิทธิ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา ,นายอำพล เหมาคม อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา โดยอ้างนายไชยบูลย์ป่วย
อัยการไม่เชื่อว่า”ป่วย”
นายสนธยา ทนายความวัดพระธรรมกาย นำใบรับรองแพทย์ของ น.พ.พรชัย พิญญพงษ์ แพทย์ประจำมูลนิธิธรรมกาย มายืนยันว่านายไชยบูลย์เป็นโรคเบาหวาน และหลอดลมอักเสบเนื่องจากติดเชื้อหวัด จึงมาฟังคำสั่งฟ้องไม่ได้ และขอเลื่อนไปเป็นวันที่ ๒๐ ต.ค.นี้ หากอัยการไม่เชื่อก็ต้องรับตัวมาจากวัด แถมยังบอกว่าถ้าพาตัวมาอาจถึงขั้นช็อค
อย่างไรก็ตามคณะอัยการเห็นว่าข้ออ้างการขอเลื่อนคดีไม่น่าเชื่อถือจึงติดต่อหารือกับ พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ ผบช.สง.ก.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีธรรมกาย และตัดสินใจต้องเอาตัว นายไชยบูลย์มาฟังคำฟ้องในวันนี้ให้ได้ และให้เชิญคณะแพทย์จากรพ.ตำรวจนำโดยพ.ต.อ.น.พ. ไพโรจน์ จันทรโมฉี เดินทางไปตรวจอาการนายไชยบูลย์ที่อ้างว่านอนรักษาตัวที่วัด
เวลา ๑๔:๐๐ น. พล.ต.ท.วาสนา ,พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ผกก.๑ ป.,พ.ต.อ.ฉัตรกนก เชียวส่องแสง ผกก. ๓ป. และกำลังจาก กองปราบปราม ***นำรถ ร.พ.ตำรวจ ๑ คันเข้าไปในวัดธรรมกาย หลังจากนั้นอีก ๓๐ นาที วัดได้เรียก รถตู้จาก ร.พ.เอกปทุม ๑ คันเข้าวัด*** และในช่วงเวลานี้ได้มีรถของสาวกเข้าวัดอย่างไม่ขาดสายตลอดเวลา
เมื่อเดินทางไปถึงคณะนายตำรวจและคณะแพทย์พบ ***นายไชยบูลย์นอนหราอยู่บนเสียง สวมเสื้อยึดแขนยาวสีเหลืองไว้ภายในจีวร*** โดยมีพระชั้นในอาทิพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสและพระสมชาย ฐานวุฑโฒ นั่งเฝ้า โดย ***ไม่มีการให้น้ำเกลือเหมือนกับผู้ป่วยที่อ่อนเพลียและไม่เหมือนกับคำอ้างว่าวันนี้นายไชยบูลย์ป่วยหนัก***
๖ ตุลาคม ๒๕๔๒
เวลา ๑๒:๓๐ น. นางกีรยดา วิชัยธนพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ ร่วมกับพระสมชาย ฐานวุฒโฑ ผู้อำนวยการ ฝ่ายเผยแพร่ วัดพระธรรมกาย ร่วมกันแถลงข่าวอาการป่วยของนายไชยบูลย์ที่ถูกส่งตัวเข้ามาที่โรงพยาบาล กรุงเทพฯ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ที่อยู่ห่างวัดเป็นสิบ ๆ กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ ๕ ต.ค.เวลา ๑๗:๐๐ น. โดยอาการเบื้องต้นคือการไอ เป็นไข้ เจ็บอก มีเสมหะ อาเจียน เยื่ออาหาร เสียงแหบ
โรงพยาบาลตั้งคณะแพทย์ตรวจอาการประกอบด้วยน.พ.ธีระ จิตต์ตำนาน ,น.พ. ชานนท์ เมฆจรัสนภา,น.พ.ชัยศิลป์ แต้ตระตูล และน.พ.ยิ่งดาว ไกรฤกษ์ เป็นประธานแพทย์ ผลการตรวจล่าสุดพบอาการสายเสียงและหลอดลมอักเสบ แม้อาการไม่หนักแต่ต้องใช้เวลาดูอาการสักระยะ ขณะนี้ยังเดินทางไปไหนมาไหนและปฏิบัติกิจวัตรได้ แต่อาจต้องใช้รถเข็นเมื่ออ่อนแรง เพราะมีอาการอ่อนเพลีย
พระสมชายกล่าวว่า อาการนี้เกิดขึ้นมาเมื่อ ๒ สัปดาห์ก่อน คาดว่ามาจากการถูกละอองฝน จากนั้นมีอาการไอเล็กน้อย และพบปะกับญาติโยมได้ แต่กระแอมตลอด จนเมื่อวันที่ ๑-๒ ต.ค. อาการหนักขึ้น ฉันอาหารไม่ลง อาเจียน ต้องพักผ่อนให้น้ำเกลือ และในวันที่ ๔ ต.ค.ต้องออกไปนอกวัดเพื่อขึ้นศาล กลับมาอาการก็ทรุดหนัก ตอนเช้าวันที่ ๕ ต.ค.อาเจียนขณะกินข้าวเช้า เจ็บอก ลุกไม่ไหว และเท่าที่อยู่วัดพระธรรมกายมา ๒๐ ปี เพิ่งเห็นป่วยหนักครั้งนี้ และที่ต้องนำมาส่งโรงพยาบาลกรุงเทพฯ ก็เพราะติดต่อโรงพยาบาลรัฐแห่งอื่นแล้วไม่มีที่ว่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงเช้าได้มีพระชั้นในและสาวกผู้ใกล้ชิดนายไชยบูลย์นำโดยพระสมชาย มาเฝ้า อาการนายไชยบูลย์อย่างใกล้ชิด จากนั้นแกนนำวัดได้เดินทางมากระจายชั้นล่างของอาคาร และชั้น ๙ ที่เป็นห้องรักษาตัวของนายไชยบูลย์ที่หมายเลข D9-18 โดยหน้าห้องมีสาวกกระจายกำลังมีอุปกรณ์สื่อสารครบ ดินตรวจตราความเรียบร้อย ป้องกันไม่ให้สื่อมวลชนเข้าไป แฉวิ่งเต้น รพ. ตำรวจไม่ได้
รายงานข่าวจากกองปราบปรามเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ก่อนที่จะมีการหาม นายไชยบูลย์ไปที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ ได้มีนายทหารอากาศ คนหนึ่งเป็นสาวก ของวัดติดต่อ ไปยัง โรงพยาบาลตรำวจขอให้ออกหนังสือยืนยันนายไชยบูลย์ป่วยจริง และจะนำตัว นายไชยบูลย์มารักษาอีกครั้ง แต่ถูกปฏิเสธ และตอบกลับไปว่าผลการตรวจรักษาทางวิทยาศาสตร์ ของแพทย์โรง พยาบาลตำรวจพบว่าไม่มีไข้ และตรวจจาก ผู้ชำนาญการทุกด้าน และได้มีการบันทึกอาการนายไชยบูลย์ไว้แล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และยินดีถ้าจะส่งไปที่อื่น ปกติหน่วยราชการจะยึดถือการวินิจฉัยของแพทย์โรงพยาบาลรัฐ รวมถึงถือว่าเป็นผู้ชำนาญการหรือผู้เชี่ยวชาญตามกระบวนการยุติธรรมด้วย
นอกจากนั้นโรงพยาบาลรัฐหากมีปัญหาการรายงานผลผิดพลาดต้องถูกให้ออก และสภาพ นายไชยบูลย์ที่ถูกอ้างก่อนถูกลากตัวมาฟังคำสั่งฟ้องเมื่อวันจันทร์ที่ ๔ ต.ค. ***ว่านอนซมให้น้ำเกลือก็ไม่จริง โดยภาพที่พนักงานสอบสวนไปพบคือนายไชยบูลย์นอนในกุฏิ ไม่มีอุปกรณ์ให้น้ำเกลือ เมื่อถามสาวกใกล้ชิดก็การอ้างว่ารักษาด้วยการกินยาจีน***
***ในกุฏิยังเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ขัดกับสภาพ คนไข้หนัก ที่ต้องดูแลอุณหภูมิให้ อากาศถ่ายเท ส่วนที่บอกว่านายไชยบูลย์ไอมากจนระบบ ปรากฎตอนเดินมาศาลก็ก้าวฉับ ๆ แถมเมื่อฟังคำสั่งฟ้อง จนครบกระบวนการก็ไม่ได้ไอออกมาสักครั้งเดียว รวมถึงไม่มีการอมยาสมุนไพรตามที่อ้างด้วย***
๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๒
ที่วัดพระธรรมกาย ต.คลองหลวง ปทุมธานี เมื่อเวลา ๘:๐๐ น. วันที่ ๑๐ ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในวัด ซึ่งมีการจัดงานใหญ่ฉลอง ๑๐๐ ปี หลวงพ่อสดว่า บริเวณลานจอดรถของวัดนั้นปรากฏว่ามีรถโดยสารจำนวนกว่า ๓๐๐ คัน และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอีกกว่า ๑,๐๐๐ คัน นำญาติโยมและผู้ปฏิบัติธรรมมาร่วมงาน ทำให้บริเวณนั้นเนืองแน่นและเล็กลงไปถนัดใจ โดยคาดว่ามีผู้เดินทางมาร่วมงานครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า ๓๐,๐๐๐ คน นอกจากนี้ยังมีพระภิกษุสามเณรอีกกว่า ๑๐,๐๐๐ รูปจากวัดต่างๆทั่วประเทศ มาร่วมงานรับผ้าป่าของทางวัดพระธรรมกายด้วย
ต่อมาเวลา ๙:๓๐ น. นายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย พร้อมด้วยพระเผด็จ ทัตตชีโว ที่ได้รับโปรโมทจากนายไชยบูลย์ให้ขึ้นเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้ออกมาเป็นประธานที่สภาธรรมกายสากลซึ่งเป็นที่ประกอบพิธีกรรม ***โดยนายไชยบูลย์ซึ่งคาดผ้าขาวปิดบริเวณปากและจมูก อ้างว่าเพื่อกันติดเชื้อได้กล่าวกับผู้มาปฏิบัติธรรมว่า ไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก เพราะร่างกายไม่ปกติโรคเบาหวานกำเริบและก็เป็นภูมิแพ้ แพ้อากาศเสียงก็แหบแห้งไม่มีเสียงจะมาพูดให้ญาติโยมฟังทั้งๆที่อยากจะพูด*** แต่ก็จะให้พระเผด็จ ทัตตชีโวมาเป็นประธานกล่าวแทน
ด้านนายวิระศักดิ์ ฮาดดา หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิธรรมกายเปิดเผยว่า นายไชยบูลย์ได้เข้ามาในพิธีโดยไม่มีรถนำเหมือนที่ผ่านมาเพราะไม่ต้องการให้เอิกเกริก ***โดยนายไชยบูลย์ ออกจาก โรงพยาบาลกรุงเทพ*** เมื่อเวลา ๒๑:๓๐ น. ทั้งที่อาการป่วยยังไม่ดีขึ้น และแพทย์ต้องการให้งดใช้เสียง ขอให้พักผ่อนมากๆงดทำกิจกรรมต่างๆ โดยให้ใช้ผ้าปิดปากไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรค แต่ที่มาเพราะต้องการมาให้กำลังใจญาติโยมที่มาร่วมในพิธี ส่วนที่ไม่จัดงานใหญ่บริเวณมหาธรรมกายเจดีย์นั้นเนื่องจากต้องการเก็บไว้จัดงานใหญ่ในปี ๒๕๔๓ คือวันมาฆบูชา
๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๒
“ไชยบูลย์” เจ้าเล่ห์ไม่ออก หมอ รพ.เกษมราษฎร์ ยืนยัน ใช้เสียงได้ต้องยอมขึ้นรถเข็นมามอบตัวตามนัด หลังอ้างใบรับรองแพทย์ขอเลื่อนไปเป็น ๓ พ.ย. ชุดสุดหรูสวมหมวดไหมพรมเสื้อแขนยาวถุงเท้าเหลือง แถมมีผ้าคาดปิดปากต่างหาก พนักงานสอบสวนสอบเครียดกว่า ๒ ชั่วโมงก่อนให้ใช้หลักทรัพย์ ๓ ล้านบาทประกันตัวไป
นายสนธยาพร้อมด้วยนายเพทาย มณีไพโรจน์ นายประกันของ นายไชยบูลย์ได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน โดยนายสนธยาได้นำหนังสือขอเลื่อน การเข้ามอบตัวและใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลเกษมราษฏร์มามอบให้
***ใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาลเกษมราษฎรออกโดย น.พ.สมนึก ตรัยไชยาภรณ์ ระบุว่านายไชยบูลย์มีอาการสายเสียงอักเสบแต่อาการดีขึ้นแล้ว***
อย่างไรก็ตามเมื่อ พล.ต.ท.วาสนาและ พ.ต.อ.ทวีได้ร่วมกันตรวจสอบใบรับรองแพทย์ ได้พบสิ่งผิดปกติมีการขีดฆ่าข้อความบางส่วน โดยเฉพาะตรงข้อความที่ระบุว่า”การเข้าพักรักษาตัวตั้งแต่”และข้อความ”รวมกี่วัน” พนักสอบสวนจึงไม่ยอมรับเรื่อง เพราะใบรับรองแพทย์ขาดความสมบูรณ์ ซึ่งนายสนธยาได้ต่อรองโดยให้ไปแจ้งข้อกล่าวหาที่โรงพยาบาล แต่พนักงานสอบสวนไม่ยอม พร้อมยืนยันให้กลับไปนำใบรับรองแพทย์มาใหม่
อย่างไรก็ตาม เวลา ๑๖:๔๕ น. เมื่อรู้ว่าไม่สามารถบิดพลิ้วได้นายไชยบูลย์ได้เดินทางออกจากโรงพยาบาล โดยให้พระสมชาย ฐานวุฒโฑ พระผู้ใกล้ชิดลงมาตรวจสอบ ที่รถพยาบาลเพื่อดูความเรียบร้อย จากนั้นนายไชยบูลย์ก็นั่งรถเข็นออกมาจากลิฟท์ชั้น ๔ ศรีษะใส่หมวกไหมพรม สวมเสื้อแขนยาวสีเหลือง ถุงเท้าสีเหลืองมีผ้าขาว ขาดจมูก โดยมีนายผ่อง เล่งอี้ แกนนำศิษย์และพล.อ.อ.วีระวุธเดินมาด้วย ทางเดินหน้าประตูลิฟท์ด้านล่างมีพระลูกวัดตั้งแถว ๒ ฟากๆ ละ ๔ รูป และมีสาวกจำนวนมากยืนรอรับ จากนั้นนายไชยบูลย์ขึ้นรถตู้เดินทางมาที่กองปราบปราม
หลังจากที่นายไชยบูลย์เดินทางมามอบตัวแล้ว พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาว่า เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งนายไชยบูลย์ได้ปฏิเสธข้อหาและขอให้การในชั้นศาล จากนั้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำนายไชยบูลย์ โดยใช้เวลาในการสอบปากคำนานกว่า ๒ ชั่วโมง ซึ่งตลอดเวลาดังกล่าวนี้นายสนธยาได้อยู่ภายในห้องสอบสวนด้วย
กระทั่งเมื่อเวลา ๑๙:๑๕ น. พนักงานสอบสวนจึงอนุญาตให้ประกันตัวนายไชยบูลย์ได้ โดยใช้หลักทรัพย์ ๓ ล้านบาท ซึ่งนายเพทาย มณีไพโรจน์ได้ใช้บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ ซึ่งมีเงินอยู่ในบัญชี ๔ ล้านบาทเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นนั้นได้ประกันไปโดยใช้หลักทรัพย์รายละ ๑๐ ล้านบาท
๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๒
ที่วัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ ๗ พ.ย. ๒๕๔๒ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วัดมีการ จัดพิธี ทอดกฐินประจำปี ที่เรียกว่า “กฐินชีจันทร์” ซึ่งปรากฎว่า มีผู้มาร่วมงานค่อนข้างบางตา และนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย ไม่ได้มาเป็นประธานในพิธีตามกำหนดการ มีเพียงพระมหาฉัตรชัย ฉัตรตันชโย มาทำหน้าที่แทน จนเวลา ๑๑:๐๐ น. พระเผด็จ ทัตตชีโวรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้มากล่าวนำญาติโยมสวดมนต์
นพ.พรชัย พิญญพงษ์ แพทย์ประจำศูนย์พยาบาลมูลนิธิธรรมกาย เปิดเผยว่า สาเหตุที่นายไชยบูลย์ ไม่ได้มาเป็นประธานก็เพราะในช่วงเช้ามีกระแสลมแรง นายไชยบูลย์จึง ต้องถนอมสุขภาพไว้เพื่อลงมาร่วมพิธีทอดกฐินในช่วงบ่าย ซึ่งก็ต้องรอดูสถานการณ์ก่อน โดยแพทย์ได้ลงความเห็นว่านายไชยบูลย์ยังไม่สามารถใช้เสียงได้ ส่วนการเดินทางไปรับฟังข้อกล่าวหาตามกฎนิคหกรรมที่วัดมูลจินดารามในวันที่ ๑๐ พ.ย. ตามหนังสือของพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับสุขภาพ ของนายไชยบูลย์ด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าจะเดินทางไปก็จะต้องมีแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
นายวิระศักดิ์ ฮาดดา หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิธรรมกาย กล่าวถึงกรณีที่พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เรียกตัวนายไชยบูลย์ไปรับทราบข้อกล่าวหาตามกฎนิคกรรมที่วัดมูลจินดาราม ในวันที่ ๑๐ พ.ย.นี้ว่า ขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่านายไชยบูลย์จะเดินทางไปหรือไม่ เพราะยังอยู่ ระหว่าง ให้นักกฎ หมายตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน อย่างไรก็ตามทางวัดพร้อมจะปฏิบัติตามกฎมหาเถรสมาคม (มส.)
ส่วนที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย(มจร.) วัดมหาธาตุยุวราษฎร์รังสฤษดิ์ ท่าพระจันทร์ ได้มีพิธีสมโภชพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย โดยในช่วงเช้า พระธรรมปิฎก เจ้าอาวาสวัดญาณเวสกวัน ได้กล่าว ปาฐกถาเรื่อง พระไตรปิฎกกับการธำรงพระพุทธศาสนาผ่านทางวิดีโอทัศน์ โดยระบุว่า พุทธบริษัท มีหน้าที่ธำรงพระพุทธศาสนาโดยรักษาพระธรรมวินัย ศีล สมาธิและปัญญาก็อยู่ในพระไตรปิฎก หากขาดพระไตรปิฎกก็เหมือนขาดสิ่งจำเป็นและสิ่งสำคัญของพระพุทธศาสนา
ด้านพระราชวรมุนี อธิการบดี มจร.กล่าวว่า สาเหตุที่พระธรรมปิฎก ไม่สามารถอยู่ร่วม ในพิธีได้เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพไม่สามารถนั่งบรรยายได้เป็นเวลานาน ขอให้พระนิสิต อ่านพระไตรปิฎกให้มากและให้ลึกซึ้ง ส่วนปัญหาที่มีการตีความคำสอนในพระไตรปิฎกไม่ตรงกัน เพราะไม่ได้ศึกษาอรรถถาและฎีกาประกอบ เช่นเราจะพูดว่ามีอัตตาก่อน แล้วสลายไป เป็นอนัตตา ไม่ได้เพราะอัตตาไม่มีอัตตามาแต่ต้น ก็ไม่มีอะไรขาดสูญในนิพ พาน เราเรียกว่า สุญญตา นอก จากนี้ในปีหน้ามจร.จะจัดทำพระไตรปิฎกฉบับสาระธรรม ซึ่งสรุปย่อหัวใจคำสอนในพระไตรปิฎกทั้ง ๔๕ เล่มมาไว้ด้วยกัน และในปีเดียวกันจะจัดทำพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์
เวลา ๑๖:๐๐ น. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จมาถึงมณฑลพิธี ทรงจุดธุปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ประทานพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัยแก่เจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัดทั่วราชอาณาจักรจำนวน ๑๐๑ รูป จากนั้น ทรง ประทานโอวาทมีใจความชี้ให้เห็นความสำคัญของ ๓ สถาบันหลักคือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่ค้ำจุนกันอยู่ จะขาดสถาบันใดสถาบันหนึ่งไม่ได้ โดยเฉพาะสถาบันพระพุทธศาสนา
พระสงฆ์มีหน้าที่โดยตรงในการรักษาสถาบันนี้ ไม่ควรจะย่อหย่อน อ่อนแอเห็นกับอะไรอื่นจนเป็นเหตุให้ดูเหมือนพระพุทธศาสนาจะไปไม่รอด จะถูกบรรดาเพื่อน พุทธศาสนิกผู้มีมิจฉาทิฐิทำลายได้ ซึ่งความจริงพระพุทธศาสวนาไม่มีเวลาจะหมดสิ้น ดังนั้นการเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนามิให้หายไปจากใจนั้นเป็นบุญสูงสุดยิ่งกว่าบุญใด และการเหยียบย่ำทำลายพระพุทธศาสนานั้นเป็นบาปเป็นกรรมร้ายแรงที่สุด ผลจึงสูงสุดทั้งดีและร้าย
“มีพระไตรปิฎก อยู่ที่ไหนก็เปรียบเหมือนมีพระพุทธองค์ที่นั่น แต่อย่างไรก็แน่นอน ที่มิใช่อัตตาของพระพุทธองค์ ดังเช่นมีนิพพานอยู่แต่มิใช่เป็นอัตตาของนิพพาน มิใช่นิพพานเป็นอัตตา มีพระไตรปิฎกอยู่ ผู้ใดเข้าไปศึกษาหาความรู้ความเข้าใจ จากพระไตรปิฎกก็เปรียบดังได้ฟังพระพุทธดำรัสตรัสสอน ผู้ฟังมาแล้วแม้ไม่แน่ใจในความเข้าใจความจดจำของตนก็พึงรอบคอบให้อย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดต่อไปยังผู้อื่น เพราะจะเป็นการทำลายได้ เป็นการทำบาปกรรมที่หนักที่สุดได้ ซึ่งแน่นอนผลที่ได้รับต้องหนักหนาเช่นกัน”
พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี กล่าวถึงการเรียกตัวนายไชยบูลย์ และพระเผด็จมารับทราบข้อกล่าวหาตามกฎนิคหกรรมในวันที่ ๑๐ พ.ย.ว่า ยังไม่รู้ว่าทั้ง ๒ จะมาหรือไม่เพราะยังไม่มีการติดต่อกลับมา แต่ขณะนี้ก็มีการเตรียมความพร้อมอยู่แล้ว มีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้วทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กรมการศาสนา ขอให้รอให้ถึงเวลาก่อน ถ้าไม่มาจริงก็มีวิธีการจัดการอยู่แล้วไม่ต้องห่วง ส่วนที่ทางวัดพระธรรมกาย บอกว่าหากนายไชยบูลย์จะมาก็ต้องมีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิดนั้นไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเท่ากับเป็นการฝ่าฝืนกฎ ผู้ที่จะเข้าร่วมรับฟังได้มีเพียงผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้น
วันเดียวกัน คณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา (ศพพ.) มูลนิธิโกมลคีมทอง มูลนิธิพุทธธรรม และมูลนิธิสุขภาพไทย ได้ร่วมกันทำหนังสือเปิดผนึกถึงพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอให้เปิดเผยการสืบสวนอันเกี่ยวเนื่องกับการกล่าวเท็จให้ร้ายพระธรรมปิฎก โดยเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงผลการสืบสวนอย่างเป็นทางการโดยละเอียด เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อเท็จจริงและที่มาของการกล่าวให้ร้ายป้ายสีอย่างปราศจากมูลความจริง และให้ดำเนินการขยายผลการสืบสวนและแสวงหามาตรการตามกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม ที่จะหยุดยั้ง ขบวนการใส่ร้ายป้ายสีบุคคลและองค์กรอันถูกต้องชอบธรรมโดยด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้ดร.เบญจ์และกลุ่ม ขยายความเท็จให้ร้ายป้ายสีผู้อื่นตามอำเภอใจอีกต่อไป
ด้านนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ กล่าวในการเสวนาเรื่อง “ลัทธิพิธีในสังคมไทยกับท่าทีชาวพุทธเถรวาทไทย” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอนหนึ่งว่า ศาสนาพุทธฝ่ายเถรวาทนั้นไม่เน้นพิธีกรรมและยึดติดกับวัตถุ และไม่ถือครองทรัพย์สิน แม้ญาติโยมจะถวายที่ดินก็ใส่ชื่อของตนเองเป็นผู้ถือครองไม่ได้ ดังนั้นผู้ที่ศรัทธาวัดพระธรรมกายควรจะแยกแยะให้ได้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๒
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด พนักงานสอบสวนได้นำสำนวนการสอบสวนคดียักยอกทรัพย์กรณี นำเงินวัด ไปซื้อที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นเจ้าหน้าที่ประพฤติมิชอบและผู้สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ประพฤติมิชอบ ซึ่งผู้ต้องหาประกอบด้วยนายไชยบูลย์ นายถาวร พรหมถาวร นายมัยฤทธิ์ ปิตวนิคและน.ส.อมรรัตน์ สุวิพัฒน์ พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้องมาส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานสอบสวนได้นัดหมายผู้ต้องหาทั้งหมดในเวลา ๑๓:๐๐ น. แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาดังกล่าวมีเพียงนายถาวร นายมัยฤทธิ์และน.ส.อมรรัตน์เดินทางมาเท่านั้น ส่วนนายไชยบูลย์ไม่ได้เดินทางมาตามเวลานัดหมาย
กระทั่งเวลา ๑๕:๐๐ น. ***นายไชยบูลย์พร้อมพระใกล้ชิดอีก ๑๕ รูปได้เดินทางมาถึง โดยครั้งนี้นายไชยบูลย์ไม่ได้สวมหมวกไหมพรม เสื้อยืดหรือมีผ้าคาดปิดปากแต่อย่างใด แต่ยังคงใส่ถุงเท้าสีเหลืองเช่นเดิม*** จากนั้นจึงพร้อมด้วยผู้ต้องหาคนอื่น ๆ เข้าพบกับนายอำพล เหมาคม อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา ๕ ราว ๒๐ นาที ก่อนที่นายอำพลจะอนุญาตให้ประกันตัวไปคนละ ๓ ล้านบาท และนัดให้มาฟังการสั่งคดีในวันที่ ๑๖ ธ.ค. เวลา ๑๔:๐๐ น. จากนั้นนายไชยบูลย์กับพวกจึงเดินทางกลับ
๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๒
เหตุการณ์สะท้านหัวใจชาวพุทธด้วยการโยนระเบิดข่มขู่เข้าไปยังวัดชนะสงครามเมื่อคืนวันที่ ๑๗ พ.ย. ๒๕๔๒ หลังจากที่มีม็อบสาวกธรรมกาย ยกพลมาประท้วงหน้าวัด และยื่น ๓ เงื่อนไขถึงสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง โดยเงื่อนไขสำคัญ คือให้ยับยั้งคำสั่งการปลดพระครูปทุมกิจโกศล เจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง เพราะการปลดพระครูปทุมกิจโกศล จะนำไปสู่การปลดนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกายออกจากตำแหน่งอย่างแน่นอนนั้น ปรากฏว่าเหตุการณ์นี้ได้มีเสียงตำหนิติเตียนสาปแช่งกันทั้งเมืองเนื่องจากได้ทำให้ศาสนามัวหมอง
ทางด้าน พล.ต.ต.จักรทิพย์ กุญชร ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบช.น. เปิดเผยหลังการตรวจหาสะเก็ดระเบิดว่า ได้ตรวจสอบรถที่เกิดเหตุเพื่อหากระเดื่องลูกระเบิด หาก พบก็จะสามารถ สันนิษฐานได้ว่าเป็นการผูกหรือขว้าง เพราะเป็นหลักฐานที่สำคัญจะทำให้สามารถสันนิษฐานได้หลายทาง เบื้องต้นทราบว่าเป็นระเบิดชนิด เอ็ม 61 เนื่องจากเก็บชิ้นส่วนได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งระเบิดชนิดนี้จะใช้ขว้างหรือโยน เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายใช้วิธีโยนเข้าไปใต้ท้องรถ
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๒
ผู้สื่อข่าวรายงานจากวัดพระธรรมกายว่า ***ในคืนวันที่ ๒๒ พ.ย. นายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกายได้ลอยกระทง ในวัดพระธรรมกาย โดยสวมหมวกไหมพรม ถุงเถ้า เสื้อยืดแขนยาวสีเหลือง*** มีศิษย์ใกล้ชิดแค่ ๓๐๐ คนร่วมงาน และห้ามถ่ายรูปโดยมีการประกาศว่าถ้าไม่เชื่อเกิดอะไรขึ้นไม่รู้ด้วย
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๒
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ในโอกาสนี้ทรงพระราชทานพระวรธรรมคติมีใจความบางตอนสรุปได้ว่า ในยามนี้มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในแวดวงพระพุทธศาสนา ไม่มีผู้จริงใจเพียงพอที่จะแก้ปัญหาให้คืนสู่ความเป็นปกติ ซึ่งน่าจะเป็น เพราะไม่เข้าใจถูกจริงว่าเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกระทบถึงพระพุทธศาสนามีความสำคัญอย่างยิ่งทุกเรื่อง
“ขอฝากครูอาจารย์ทั้งหลาย ที่กำลังรับหน้าที่สร้างบัณฑิตทางพระพุทธศาสนาของวิทยาลัยศาสนาศึกษาแห่งนี้ ได้ให้ความเข้าใจ อย่างชัดเจนแก่ศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ว่าบุญกุศลอันเกิดแต่การ ทำเพื่อพระพุทธศาสนา นั้นยิ่งใหญ่ และบาปอกุศลอันเกิดแต่การทำต่อพระพุทธศาสนาก็ยิ่งใหญ่ พึงระวังให้ดี พึงเชื่อว่านี่เป็นการบอกความจริง มิใช่เป็นการหลอกให้เชื่อ”
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๒
ที่วัดมูลจินดาราม เมื่อเวลา ๖:๓๐ น. วันที่ ๒๘ พ.ย. ***นายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย พร้อมด้วยพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พระปลัดสุธรรม สุธัมโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระสมชาย ฐานวุฒโฑ ผู้อำนวยการฝ่ายเผยแผ่วัดพระธรรมกาย พระภานุมาศ และนายสนธยา โพธิแดง ทนายความของวัดได้เดินทางมานมัสการพระสุเมธาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมูลจินดารามและเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี*** พร้อมยื่นหนังสือยืนยันไม่มารับทราบข้อกล่าวหาตามกระบวนการกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๑๑ ว่าด้วยการลงนิคหกรรม
อย่างไรก็ตามการเข้านมัสการครั้งนี้นายไชยบูลย์ ไม่ได้พบกับพระสุเมธาภรณ์ เนื่องจากเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีมีศาสนกิจภายนอกวัด นายไชยบูลย์และพวกจึงได้ยื่นหนังสือไว้ให้กับพระมหาประพันธ์ วชิรญาโณ พระเลขาเจ้าอาวาสวัดมูลจินดารามรับแทน นอกจากนี้นายไชยบูลย์ ยังได้ส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวไปยังกรรมการมหาเถรฯ ด้วย
ส่วนที่วัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณสภาธรรมกายสากล ในช่วงเช้า ***นายไชยบูลย์ ได้มาเป็นประธานในพิธีสงฆ์*** และกล่าวชักชวนบรรดาสาวกให้เดินทางมาทำบุญกันมากๆ เพื่อเป็นการเติมบุญบารมี อย่าไปสนใจกับกระแสข่าว ใครจะว่าอย่างไรก็อย่าสนใจ โดยนายไชยบูลย์ใช้เวลาเพียง ๑๕ นาทีก็เดินทางกลับ สำหรับบรรยากาศโดยทั่วไป ทางเจ้าหน้าที่วัดได้ประกาศเชิญชวนให้สาวกมาร่วมงานต้อนรับสหัสวรรษใหม่ในวันที่ ๓๑ ธ.ค. ซึ่งจะมีการจุดโคมประทีปสันติภาพ พร้อมทั้งอ้างว่าจะมีอาคันตุกะทั้งจากในและต่างประเทศมาเที่ยววัดพระธรรมกายในวันดังกล่าวราว ๑ ล้านคน
ขณะเดียวกันก็ได้มีการเปิดโทรทัศน์วงจรปิดถ่ายทอดโอวาทของนายไชยบูลย์ โดยการถ่ายทอดดังกล่าวนี้ไม่มีการปล่อยเสียงออกมาแต่อย่างใด แต่มีตัวหนังสือวิ่งบนจอภาพเท่านั้น จากนั้นก็เป็นพระเผด็จ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้ให้โอวาท กระทั่งมาถึงอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เป็นคนสุดท้าย
๙ มกราคม ๒๕๔๓
ที่วัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุม ธานี เมื่อวันที่ ๙ ม.ค. ๒๕๔๓ เวลา ๐๙:๓๐ น. ปรากฏว่า มีผู้ไปปฏิบัติธรรมและร่วมกิจกรรมของวัดไม่มากนัก ***โดยนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกาย ซึ่งมาเป็นประธานในพิธี*** กล่าวว่า ขอให้พวกเราแน่วแน่มุ่งตรงสู่นิพพาน วันจันทร์ถึงเสาร์ให้ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ส่วนวันอาทิตย์ให้มาร่วมกันที่วัด….
[ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์]