ประชาธิปไตยสามานย์

0
91

ขอแชร์นะ ฉันเห็นด้วยกับคุณ
ประชาธิปไตยสามานย์
วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2559280459-บทความ-เปลวสีเงิน--ระบบกฎหมาย-ระบอบทักษิณ
ประชาธิปไตยสามานย์
เปลวสีเงิน
คำว่า “ประชาธิปไตยสามานย์” นี่…เข้าใจว่า อาจารย์ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เป็นผู้ประดิดประดอยขึ้นมา

เพื่ออธิบายถึง ระบอบการปกครองที่ผู้บริหารประเทศมาจากการซื้อเสียงโดยตรงหรือมัดจำไว้ก่อนด้วยการให้สินบนในรูปแบบประชานิยม

ครั้นได้อำนาจมาแล้วก็ดำเนินการทุจริตคิดโครงการมูลค่าเป็นแสนล้านหรือล้านล้านบาทเพื่อกินค่าหัวคิว

ขณะเดียวกันก็สถาปนาอำนาจเบ็ดเสร็จโดยใช้เสียงข้างมากในสภาฯ เขียนกฎหมายตามใจชอบลิดรอนสิทธิประชาชน

อีกทั้งดั้นด้นออกไปกล่าวร้ายประเทศตนเองให้ต่างชาติฟัง บดบังการตรวจสอบไม่ชอบการวิจารณ์ กล่าวร้ายต่ออำนาจตุลาการ

ใช้อันธพาลกดดัน หวังปิดกั้นความยุติธรรม

พวกหยาบกระด้าง ป่าเถื่อน ทั้งที่เป็นนายทุน นักการเมือง หัวคะแนน ตำรวจ และกองกำลังมวลชนนักเลง

แล้วอ้างตัวว่า เป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย”

เรียกฝ่ายตรงข้ามเป็นพวก “อนุรักษนิยมล้าหลัง”…………………

ครับ…นั่นคือสถานการณ์ของการต่อสู้ทางการเมืองในขณะนี้

มีคนบางกลุ่มอ้างประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ จนเลียปาก แผล็บๆ เห็นเข้าไปถึงลิ้นไก่

หน้าประชาธิปไตย หลัง “รับซอง”!

ประชาธิปไตยสามานย์ เติบโตในประเทศไทยได้ องค์ประกอบส่วนหนึ่งก็มาจากประชาชน ที่เสียนิสัยจากนโยบายประชานิยม

มันหน้ามืดไงครับ ประเทศจะฉิบหายช่างมัน ขอให้ระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจก็พอ

ประชาธิปไตยที่ยอมการคอร์รัปชัน และยอมให้ความฟุ้งเฟ้อเป็นส่วนหนึ่งของสังคม สุดท้ายมันก็ล่มสลาย

การล่มของกรีกโบราณสาเหตุหลักก็มาจากการคอร์รัปชัน และความฟุ้งเฟ้อนี่เอง

จวบจนปัจจุบันนี้ การเมืองประเทศไหนที่เต็มไปด้วยคอร์รัปชัน ล้วนไปไม่รอดทั้งนั้น ดูประเทศในแอฟริกาเป็นตัวอย่าง

หรือแม้กระทั่งในประเทศไทย ประชาธิปไตยไม่ได้ล้มลุกคลุกคลาน แต่ล้มเหลวแทบจะสิ้นเชิง

เราเริ่มต้นจากการเลือกตั้งที่มีการซื้อการขายเสียง ด่านแรกก็หายนะแล้ว สิ่งที่ตามมาจะไม่ฉิบหายได้อย่างไร

ที่จริงแล้วการเลือกตั้งที่มีการซื้อขายเสียง จนกลายเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำกันนั้น ไม่ควรเรียกว่าประชาธิปไตยด้วยซ้ำ

ใครเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบัน หยุดคิดสักนิด หาต้นตอกันหน่อยว่า เหตุแห่งความวุ่นวายในทุกวันนี้ ปัญหาหลักมาจากอะไร

ความล้มเหลวของประชาธิปไตย ที่โจรในคราบนักเลือกตั้งใช้เป็นเครื่องมือหาประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตเชิงนโยบายนั้น ไม่อาจเยียวยาได้ด้วยการเลือกตั้ง

ใช่ครับ รัฐประหารก็ไม่ใช่การสร้างประชาธิปไตย

รัฐประหารเป็นเพียงแค่ทางออกของสถานการณ์เท่านั้น

เป็นเพียงเครื่องมือพาประเทศออกจากความขัดแย้ง ที่อาจนำไปสู่การนองเลือดครั้งใหญ่ได้

สังคมที่ตกผลึกร่วมกันต่างหาก คือหนทางที่นำไปสู่ความมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

แต่การทำให้สังคมตกผลึกร่วมกันมันไม่ง่ายครับ

เอาแค่ให้สังคมเข้าใจตรงกันว่า รัฐประหารคือทางออกของสถานการณ์ ก็ยังเห็นไม่ตรงกันเลยครับ

อันที่จริงไม่มีการมองด้วยซ้ำว่า ควรจะออกจากสถานการณ์ความวุ่ยวายด้วยวิธีไหน อย่างไร

เพราะมันมีเหตุมาจากการชิงอำนาจ

ใช่ครับมันคือการชิงอำนาจของพวกประชาธิปไตยสามานย์

ดูสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นตัวอย่าง ไม่ได้มาจากรัฐประหาร แต่มาจากการสลับขั้วการเมือง ตามระบอบที่เรียกว่า ประชาธิปไตย โดยระบบรัฐสภา สุดท้ายก็บริหารประเทศอย่างยากลำบาก

ก็ฝ่ายประชาธิปไตยเล่นเผาบ้านเผาเมืองเสียฉิบหายวายป่วง!

แล้วนับประสาอะไรกับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร

เหตุที่การเคลื่อนไหวของกลุ่ม ที่อ้างตัวเป็นนักศึกษา และมวลชนเสื้อแดง รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย ยังจุดไม่ติด ส่วนหนึ่งมาจากผู้คนส่วนใหญ่มีอารมณ์เบื่อ เหนื่อยหน่ายกับความขัดแย้ง

และปัจจัยสำคัญคือ รัฐบาล คสช.สามารถจัดการกับความขัดแย้งได้ดีกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตสงบสุขขึ้น

มีคนบางกลุ่มเท่านั้นแหละครับที่หาความสุขไม่ได้ เพราะวางแผนตั้งธงกันไว้ตั้งแต่แรกแล้วต้องกลับเข้าสู่อำนาจให้ได้

และตนเองต้องเป็นผู้กำหนดกติกาของประเทศ!

กรณี น.ส.พัฒน์นรี หรือ หนึ่งนุช ชาญกิจ มารดานายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว แกนนำกลุ่มพลเมืองโต้กลับ ได้ประกันตัวข้อหา ม.๑๑๒ ไปแล้วนั้นเรื่องหนึ่ง

แต่อีกเรื่องปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้ มันมีกลุ่มนักวิชาการ นักกฎหมายเฮงซวย สร้างวาทกรรมแค่พูด “จ้า” คำเดียวก็ผิด

พวกนี้บัดซบโดยสันดานครับ เป็นนักกฎหมาย นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว รู้ดีอยู่แล้วว่า จะให้พนักงานสอบสวนพูดมากไปกว่านั้น มันก็คือการ “หมิ่นซ้ำ”

มันคือการหลอกล่อ ไม่พูดก็เสีย พูดมาก็หมิ่นซ้ำ นั่นแหละที่เขาต้องการ

มีมากกว่า “จ้า” ครับ

ส่วนจะมากแค่ไหน ต้องไปว่าในศาล ไม่ใช่หน้าหนังสือพิมพ์

ประเด็น การใช้ ม.๑๑๒ หรือ ไม่ใช้ สำหรับเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ มันมีความยุ่งยากพอๆ กันครับ

ที่ต้องพูดเรื่องนี้เพราะมีเสียงเรียกร้องว่าอย่าใช้ ม.๑๑๒ พร่ำเพรื่อ ซึ่งมันก็จริง การใช้พร่ำเพรื่อดูจะเป็นการสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา

แต่คำจำกัดความคำว่า “พร่ำเพรื่อ” คืออะไร

ถ้าจับในเชิงปริมาณ โดยไม่สนใจเรื่องอื่นๆ ถือว่าพร่ำเพรื่อแน่นอน

แต่หากเป็นเพราะสถานการณ์บังคับให้ต้องทำ มันก็เลี่ยงไม่ได้ครับ

กรณี น.ส.พัฒน์นรี เข้าข่ายเลี่ยงยาก เพราะทำกันเป็นขบวนการ

ทาง คสช.เขาประเมินเอาไว้น่าสนใจ

เขาประเมินว่ากลุ่มต่อต้านมีความเคลื่อนไหวมาต่อเนื่อง ในลักษณะดำเนินการเป็นคู่

ตั้งแต่คู่พ่อ-ลูก นายวัฒนา กับ น.ส.วิรดา เมืองสุข ในการแสดงความเห็นเพื่อให้ถูก คสช.ดำเนินคดี แล้วก็ไปร้ององค์การสิทธิฯ องค์การต่างประเทศอย่างสหประชาชาติ (ยูเอ็น) อเมริกา อียู ฯลฯ

และคู่แม่-ลูก คือ น.ส.พัฒน์นรีและนายสิรวิชญ์ มีการเคลื่อนไหวและมีกองเชียร์ เพื่อทำให้องค์การสิทธิฯ เห็นและมีข่าวเกิดขึ้นในสื่อต่างประเทศ และเชื่อว่าจะมีความเคลื่อนไหวในรูปแบบดังกล่าวอีก

คสช.มองว่า เป็นแผนที่วางกันเป็นขั้นตอนเป็นซีรีส์

แต่เมื่อมองเป้าหมายการฟ้องยูเอ็น ฟ้องต่างชาติ โดยเฉพาะอเมริกาลูกพี่ยูเอ็น หวังผลเรื่อง เสรีภาพ สิทธิมนุษยชนกันจริงหรือ?

มันคือพิธีกรรมสร้างภาพเท่านั้นเอง!

อเมริกาวันนี้ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิ เสรีภาพ เรื่องสิทธิมนุษยชน มาก่อนเรื่องอื่นหรือเปล่า?

ก็ไม่ใช่!

เพราะถ้าใช่ อเมริกันชนคงไม่คลั่งไคล้ “โดนัลด์ ทรัมป์” มากขนาดนี้

แล้วไปดูซิครับว่า นโยบายของ ทรัมป์ มีอะไรบ้าง จะให้อเมริกากลับมาเป็นเจ้าโลกด้วยอะไร

สันดานดิบมันออก สุดท้ายอเมริกามองผลประโยชน์ของตัวเองมาก่อนสิ่งอื่นใด ไม่ต่างไปจากอียู ที่อาศัยประเด็นสิทธิมนุษยชน เพื่อประโยชน์ทางการค้า

ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นเมื่อคราวที่ ผู้อพยพจากตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ หลั่งไหลเข้ายุโรป และได้รับการปฏิบัติราวกับสัตว์

ประเทศไทยเวลานี้ ต้องให้ยาไปตามอาการ ที่พันแข้งพันขากันอยู่ก็แกะออก จะได้เดินหน้าง่ายขึ้น

สำคัญไปกว่านั้น รัฐบาล คสช.ต้องสร้างศรัทธาให้เกิด

ไม่ต้องโลกสวย ปัญหาใหญ่ตอนนี้คือเรื่องปากท้อง มันต้องเร่งให้ท้องอิ่ม

อิ่มแล้วจะลงมือปฏิรูปอะไร มันก็ง่าย

ต้องเข้าใจธรรมชาติครับ คนมันหิวขืนไล่ให้ไปสร้างบ้านก่อน เดี๋ยวมีเรื่อง!

มันจะไปเข้าทางประชาธิปไตยสามานย์เอานะซิครับ.

ผักกาดหอม

https://www.thaipost.net/?q=plew.seengern