คุณมีสิทธิจะไม่พูด สิ่งที่คุณพูดจะถูกนำไปเป็นหลักฐานในชั้นศาล
๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙
BoonlueMahasarakham ยังไม่รู้ใช่ไหมว่าความจริงเป็นยังไง
– คดีใหม่นี้ (คดี 27/2559) ที่ทาง DSI ใช้อำนาจตั้งคดีขึ้นมาเอง (โดยมีคนที่ฟ้องคือคนที่เคยฟ้องคดี 63 ฉ้อโกงกับคุณาศุภชัยซะด้วย!) โดยใช้มูลจากคดีเก่า (146/2556) ทั้งที่คดีเนี้ยย..ยังอยู่ในขั้นตอนสอบสวนของอัยการ..
งงใช่มะ ?
เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง…
เพราะว่าคดีที่ 146/2556 มันเป็นคดีที่ไม่สามารถออกหมายเรียก หรือหมายจับกับ พระธัมมชโยได้เพราะคดีนั้นทางวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโยเป็นเพียงพยาน.. มันยังขาดหลักฐานที่ระบุเจตตนาว่าสมรู้ร่วมคิดในการฟอกเงิน รับของโจร (ซึ่งก็คงหาไม่ได้ในไปจนโลกอวสานนั่นแหละ เพราะพระไม่ได้ผิด)
… ทางอัยการจึงให้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติม หากมีข้อมูลเพิ่มเติมแล้วชี้ว่าเจ้าอาวาสมีส่วนร่วมจริง นั้นจึงจะสามารถออกหมายเรียกเป็นผู้ต้องหาในคดี 146/2556 ได้
แต่!!!
แทนที่ DSI จะไปหาหลักฐานเพิ่มมาเสริมให้คดี 146/2559 …DSI ไม่ทำ!! (เพราะรู้ว่าทำไม่ได้ เพราะพระบริสุทธิ์จริง! ช่องทางการเงินทุกบาท ทุกสตางค์ชัดเจนตรวจสอบได้ 200% ทำยังไงก็ออกหมายเรียกไม่ได้!)
DSI จึงเลือกที่จะใช้อำนาจเปิดคดีใหม่และตั้งข้อหาให้พระเป็นผู้ต้องหาทันที!
ข้อหานี้เรียกพระออกมาได้แน่นอน…
คืออออออออ?
โชคดีที่กฏหมายระบุชัดว่า ‘กรรม ๆ เดียวจะฟ้องซ้ำไม่ได้’
ทั้งหมดทั้งมวลจึงได้มาซึ่งขั้นตอนที่ไม่เป็นธรรมที่ DSI กระทำ…
รายละเอียดยังมีมากกว่านั้น ตรงนี้ต้องใช้วิจารณญานกันเองนะ..หึหึ
ทำไม DSI กลับคำเป็นว่าเล่น??
วันที่ 8 เมษาคือนัดแรกที่ DSI เรียกพระธัมมชโย แต่วัดพระธรรมกายขอเลื่อนนัดเป็น พฤษภา เนื่องจากกระชั้นชิดงานบุญในเดือนนั้นเกินไป
ทาง DSI ประชุมกันเสร็จบอกว่า
“ได้..เลื่อนได้” รับทราบทั่วกันว่าเลื่อนได้..
…ไม่กี่นาที กลับคำใหม่ บอก ..
“เลื่อนไม่ได้ให้แค่ 25 เมษา เลื่อนมากกว่านี้ไม่ได้ วันเดียวก็ไม่ได้”
อะ! นี่ครั้งแรกนะ.. แถมยังบอกทนายวัดมาอีกว่า … “คุณก็รู้ตอนนี้ DSI โดนบี้แค่ไหน”
??? ใครบี้เหรอ ???
ทำไมคณะ DSI ที่เป็นตาชั่งแห่งความยุติธรรมถึงพูดแบบนี้?
‘มีมืดในเงามืดคอย จี้ บี้ ก้น DSI อยู่หรือ ?
แบบนี้เรื่องมันไปโป๊ะเช้ะกับเหตุการณ์ ‘ห้องกระจก’ ที่เจ้าคุณเบอร์ลินแฉไว้ไหม มันเป็นไปได้ไหม?
อะ พอมารอบ 2 (วันที่ 25) ทนายวัดไปแจ้งว่าหลวงพ่ออาพาธหนักหลังพิธี 22 เมษา
แพทย์ประจำตัว 4 คน ลงความเห็น
‘งดปฏิบัติศาสนกิจ 15 วัน’ เอาเรื่องไปยื่น DSI แรกเริ่มทาง DSI ประชุมเสร็จ..แจ้งกลับมาที่ทนายว่า…
“ได้”
โอเค ทนายวัดเดินทางกลับ
แต่…
พอหลังจากนั้น 2 ชั่วโมง DSI โทรมามาแจ้งใหม่ เป็น ..
“ไม่ได้ ต้องออกหมายจับ”
คืออออออ?
คำถาม???
‘เวลา 2 ชั่วโมงที่หายไป DSI โดนใครบี้???’ (อีกแล้ว)
ลอง ปะ-ติด-ปะ-ต่อ ดูแล้วมันเหมือนกับว่า..ที่ DSI เพิ่มคดีใหม่ขึ้นมา (? ? มีคนสั่งให้ทำ..? ?)
” เ พ ร า ะ ต้ อ ง ก า ร ใ ห้ ห ล ว ง
พ่ อ . . . อ อ ก ม า น อ ก วั ด ใ ช่ ห รื อ
ไ ม่? ? ? ”
ในเมื่อต้นทางของคดีมันมีที่มาที่ไปที่น่าสงสัยขนาดนี้ DSI ..คุณอย่าหวังว่าลูกศิษย์เป็นแสน ๆ คนจะให้ท่านออกไปเลยครับ
‘ ไ ม่ มี ท า ง ! ! ! ‘
ที่พระป่วยอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะอะไรล่ะ!! ใครวางยาท่านล่ะ!! สอดอะไรไปในคอท่านล่ะ
คิดได้ก็คิด
คิดไม่ได้ก็โง่ต่อไป!!!!!
—————————————-
NataleahRuengkit ทางอัยการให้ความเห็นมาถึง2ครั้ง
ว่าเมื่อพิจารณาหลักฐานแล้วไม่เห็นมิติเชื่อมโยงได้ว่า หลวงพ่อรับรู้หรือมีเจตนารับของโจร หรือฟอกเงิน
DSI เลยเปิดคดีใหม่ แต่หลักฐาน เดิม
แล้วแจ้งข้อหาหลวงพ่อเป็นจำเลย
ไม่ผ่านอัยการ เพราะอัยการพิจารณาว่าท่านไม่ผิด
DSIจึงเปิดคดีใหม่ปี59
DSI เลยตั้งหลวงพ่อให้เป็นจำเลย
DSI ทำหน้าที่แทนอัยการเมื่อไหร
่DSI ไม่มีสิทธิ์ในการตั้งข้อหานะ
DSI ทำแบบนี้ เข้าค่ายยัดข้อหา
แล้ว
DSI ทำความผิดเอง
ไม่ยุติธรรมเอง
แล้วจะไปตัดสินคนอื่นว่าผิดได้อย่างไร
เหมือนเป็นโจรเองจะไปจับคนอื่น
—————————————-
KamponJat 1. ตามหลักการกฎหมาย
เวลาจะตั้งข้อหาใดก็ตาม
สิ่งที่ต้องมีน้ำหนักเท่ากับข้อหา
คือหลักฐานกระทำความผิด
ถ้าจะตั้งข้อหาฟอกเงิน
หลักฐานก็ต้องมีน้ำหนักมากพอ
จะตั้งข้อหาฟอกเงินได้
ไม่ใช่หลักฐานมีแค่เป็นผู้รับบริจาค
แต่ทำขึงขังจะตั้งข้อหาฟอกเงิน
ถ้าแบบนี้ดีเอสไอใช้กฎหมายโดยไม่เป็นธรรม
กลายเป็นเจ้าหน้าที่ทำความผิดเสียเอง
2. ปี 2558 วันที่สหกรณ์ประกาศถอนฟ้อง
ได้ประกาศผ่านสื่ออย่างชัดเจนว่า
เช็คของสหกรณ์ที่มาเกี่ยวข้องกับ
เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายมีอยู่ 20 ฉบับ
ถึงแม้วัดจะคืนเงินให้ไม่ได้
แต่กลุ่มลูกศิษย์ตั้งกองทุนเยียวยาสหกรณ์
นำเงินมาช่วยเหลือ 600 กว่าล้าน
ตามจำนวนเงินในเช็คทั้ง 20 ฉบับแล้ว
สหกรณ์ก็ขอถอนฟ้องทั้งแพ่งและอาญา
จากคำประกาศของสหกรณ์อย่างทางการนี้
ก็เท่ากับว่าไกล่เกลี่ยกันได้ ก่อนคดีจะได้สั่งฟ้อง
คดีนี้จึงไม่มีเจ้าทุกข์ เจ้าหนี้ และลูกหนี้
ที่เกี่ยวกับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายอีกต่อไป
ซึ่งปัจจุบัน กองทุนของกลุ่มลูกศิษย์
ก็ช่วยสหกรณ์มา 2 ปี แล้ว
ปีแรก 600 กว่าล้าน ปีที่สอง 400 กว่าล้าน
รวมๆ ก็พันกว่าล้าน ที่สำคัญศิษย์วัด
ยังเป็นคนกลุ่มเดียวที่ให้เงินทุน
ช่วยเหลือสหกรณ์อยู่ในเวลานี้
นี่คือความจริงใจของวัดพระธรรมกาย
3. การที่ รมต. ยุติธรรมออกมาประกาศว่า
มีหลักฐานเป็นเช็ค 20 ฉบับ ที่จะเอาผิดได้
ก็แสดงว่าเป็นเช็คชุดเดียวกับที่สหกรณ์
ได้ขอถอนฟ้อง ได้ขอยกเลิกคดีไปแล้ว
และก็เป็นเช็คชุดเดียวกันกับที่ฝ่ายอัยการ
ได้ย้ำมากับดีเอสไอถึง 2 รอบว่า จะใช้เช็ค 20 ใบนี้
ตั้งข้อหาฟอกเงินกับรับของโจรไม่ได้
ถ้าตั้งข้อหาเมื่อไร จะกลายเป็นเจ้าหน้าที่กระทำความผิดเสียเอง
4. เมื่อเช็ค 20 ใบนี้ ไม่มีเจ้าทุกข์ร้องเรียน
ไม่มีมิติเชื่อมโยงกับข้อหาฟอกเงินและรับของโจร
จึงใช้ตั้งสองข้อหานี้ไม่ได้
แต่ถ้าจะตั้งให้ได้ ก็มีทางเดียว คือ
ต้องหาหลักฐานอื่นมาใช้แทน
ก็ปรากฎว่า มีเช็คปลอมอยู่ 1 ฉบับ
ที่พอจะใช้ตั้งข้อหาได้ แต่ก็ปรากฏว่า
เช็คปลอมฉบับนั้น ทนายวัดพระธรรมกาย
ได้ไปแจ้งความไว้เรียบร้อยแล้ว
สรุปว่า จะใช้เช็คจริง 20 ฉบับ ก็ไม่มีเจ้าทุกข์
จะใช้เช็คปลอม 1 ฉบับ เขาก็ไปแจ้งความว่าใช้ไม่ได้ไว้แล้ว
5. การที่ รมต. ยุติธรรม ออกมาสัมภาษณ์
ก็เท่ากับเปิดเผยสถานการณ์ของดีเอสไออย่างชัดเจนว่า
1) ใครเป็นคนสั่งดีเอสไอให้ทำคดีนี้
2) ดีเอสไอกำลังทำคดีนี้ด้วยการยัดเยียด
ข้อหาฟอกเงินและรับของโจรอย่างผิดกฎหมาย
3) ดีเอสไอรู้ว่าตั้งข้อหาไม่ได้ จึงใช้สื่อมวลชน
สร้างกระแสกดดันวัดพระธรรมกาย สร้างภาพว่า
เป็นผู้ต่อต้านอำนาจรัฐ เป็นภัยต่อสังคม
4) ถ้าดีเอสไอจุดกระแสสังคมติด
ทำให้สังคมเข้าใจวัดพระธรรมกายผิด
ก็จะสามารถจับสึกเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้ทันที
โดยไม่ต้องมาอ้างกฎหมายให้เสียเวลา
6. สิ่งที่ดีเอสไอต้องการในเวลานี้ คือต้องการให้สังคมลืมไปว่า
คดีนี้ไม่มีเจ้าทุกข์ ไม่มีหลักฐานเอาผิด และศิษย์วัดพระธรรมกาย
เป็นกลุ่มทุนเดียวที่เยียวยาสหกรณ์อยู่ในขณะนี้
เพื่อให้สังคมอนุญาตให้ดีเอสไอมีความชอบธรรม
ในการใช้กฎหมายอย่างผิดกฎหมาย อย่างไม่เป็นธรรม
เพื่อจัดการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้ทันทีนั่นเอง
—————————————-
Mann Jang การที่”จานบิน”มีผู้ศรัทธาเหนือกว่า ไม่ได้หมายว่าเค้าไม่มีดีอย่างอื่น
คุณโยมฯเป็นคนที่วัดทุกอย่างด้วยผู้คนศรัทธาที่มาห้อมล้อม
อาตมาว่ามันก็เป็นอะไรที่โลกแคบมาก(เรียกกันว่าอิจฉาบังตา)
….
การทำให้ผู้คนจำนวนมากมารุมศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญ
แต่การสร้างศรัทธาต้องใช้เวลา ทำให้ได้ทุกที่ทุกเวลาต่อเนื่อง
ไม่ใช่แค่เอาอึมาราดกันแล้วก็จบอย่างที่คุณโยมฯคิด และทำ
….
จานบินเขากล้าคิดกล้าทำตามหลักโยนิโสมนสิการ
นั้นคือการคิดอย่างเป็นระบบ,ถูกวิธี,มีเหตุผล,และเป็นกุศล
ในขณะที่คุณโยมสุวิดกระทำแค่ราดอึ แค่นี้ก็พลาดมากพอแล้ว
….
หากโยมฯต้องการให้ได้อย่างจานบินหรือเหนือกว่า…
คุณโยมฯควรมีวิธีพูดจาให้ดูสละสลวย(be beautiful)กว่านี้
ควรละมาดนักเลงอันธพาลใช้สำเนียงขู่ตะคอก ปากยื่นตาถลนตะโกนดัง
….
แต่คุณโยมฯไม่กล้าเปลี่ยนแปลง อ้างว่ามันเป็นนิสัยถาวร(…)เลิกไม่ได้
ในขณะที่”จานบิน”เขากล้าที่จะเริ่มต้นเดินเข้าหาศรัทธาเชิงบวก
ที่นับวันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่ท่านแลเห็นด้วยอาการอันร้อนรุ่ม
….
ขณะที่โยมสุวิดมองความสำเร็จของ”จานบิน”อย่างอิจฉาแทนมีมุทิตาจิต
ควรเปลี่ยนไปเป็นกระตือรือร้นใคร่ขอคำแนะนำปรึกษา…
แต่คุณโยมฯกลับมี ego ที่ยังติดภาพความเหนือกว่าแห่งตน…
….
สุดท้ายก็ต้องกลับมาชอกช้ำเงียบ ๆ คนเดียวที่สำนักอ้อน้อย
….
….
….
ถ้าจะถามว่า”พรรคจานบิน”มีอะไรที่โยมสุวิดไม่มี…???!!!
นั้นก็คือ….
….
1. ความบริสุทธิ์จากเบื้องลึกในจิตใจที่ใสสะอาดปราศจาก โลภะ,โมหะ,โทษะ
2. มีความเมตตาแก่ผู้ด้อยโอกาส อีกทั้งเผื่อแผ่อนาคตสำหรับผู้เกิดใหม่
3.มีความกรุณาช่วยส่งเสริมในธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่งขึ้นไป
4.มีมุทิตาจิตแก่ผู้อื่นที่เจริญในธรรมอันดีให้มีความก้าวไปในทางราบรื่น
5.รู้อุเบกขาในเรื่องผิดพลาดเล็กน้อย เพื่อรักษาการใหญ่ อุเบกขาเพื่อลดวิกฤต
….
นั้นคือหลักของ”พรหมวิหาร๔”ที่เราท่านต่างท่องจำขึ้นใจ แต่ไม่นำมาปฏิบัติ
หากแม้นำมาปฏิบัติได้ดังนี้เรื่องอื่น ๆ ท่านก็สว่าง อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง….
….
ตรงข้ามหากคุณโยมสุวิดยังไม่สามารถปลูกความคิดเช่นนี้ในใจได้
คุณโยมฯไม่มีวันแม้แตะเท้าเข้าไปอยู่ในโลกของ”จานบิน”
ที่คุณโยมฯกำลังอิจฉาอยู่นี้เลย ตลอดชีวิตของคุณโยมฯ
….
อย่าคิดมากไปนะคุณโยมฯ
ผู้ที่ปฏิบัติไม่เก่ง แล้วประสบความสำเร็จอย่าง”พรรคจานบิน”ก็แค่คนส่วนน้อย
แต่เป็นส่วนน้อยที่คนคนส่วนมากอย่างโยมฯ ไม่เคยคิดจะทำความเข้าใจว่า…
….
คนกลุ่มน้อยน้อยเช่นนี้…
เขามีอย่างอื่นที่ดีและเจ๋งกว่าแนวปฏิบัติของโยมมากมายนัก
…อาตมาขอแนะนำมาด้วยมุทิตาจิต ขออย่าได้มีโทษะต่อกันเลย เจริญพร…
==========================
นับว่าเป็นความรู้ใหม่ทั้งที่ยังไม่เคยไปให้ปากคำ
แต่บรรดาทาสผู้ซื่อสัตว์ก็ออกมาโชว์สารพัดความรู้
พุทธะอิสระเป็นคนชอบพิสูจน์
เมื่อทาสของอลัชชีเจ้าลัทธิทำตัวเป็นผู้อวดรู้
แต่พุทธะอิสระยังไม่รู้
เพื่อพิสูจน์ว่าทาสอลัชชีพวกนี้ รู้ถูก หรือรู้ผิด
และสามารถพิสูจน์ได้ในชั้นศาลหรือไม่
พุทธะอิสระจำนำเรื่องนี้ไปยื่นให้ดีเอสไอตรวจสอบ
หวังว่าสิ่งที่โพสต์ลงมานี้จะถูกนะ
แต่ถ้าไม่ถูก งั้นก็รับผิดชอบกันเองก็แล้วกัน
ก็อย่างที่เกริ่นเอาไว้แต่ต้นว่า
คุณมีสิทธิจะไม่พูด สิ่งที่คุณพูดจะถูกนำไปเป็นหลักฐานในชั้นศาล
พุทธะอิสระ