ผลงานโดดเด่น ของอลัชชี ต้นธาตุ ต้นธรรม ที่ไม่ควรจักจดจำ
๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ย่ำยี พระพุทธเจ้า โดยกล่าวตู่ว่า
========================================
พระพุทธเจ้า บรรลุ เมื่อท่านบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ๆ เนี่ยนะ ท่านยัง ก็แค่บรรลุอ่ะนะ พ้นทุกข์นะ แต่ยังไม่รู้จักมาร เพราะการไม่รู้จักเนี่ย แล้วได้ยินคำถามที่แปลก เป็นคำถามแรกที่เจอ เมื่อบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วเนี่ย ท่านจะสู้กับเรา หรือว่าจะโปรดสัตว์โลกตามธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าที่ผ่านๆ มา ให้เลือกเอา
คำถามนี้ใหม่สำหรับพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เป็นคำถามที่แปลก ซึ่งท่านก็ไม่รู้เรื่อง ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องคำถามนี้
เพราะว่าอัธยาศัยของท่านมันเป็นภาคโปรด
แต่มาเจอแบบภาคที่ปราบกัน
โดยภาคถูกปราบมันถามกันอย่างนี้น่ะนะ ถามกันอย่างนี้ ก็ไม่เข้าใจ
========================================
นี้คือคำพูดของอลัชชี ต้นธาตุ ต้นธรรม ที่ถอดจากคลิป “บันทึกคำสอนธัมมชโยพูดถึงพระพุทธเจ้า”
อ่านกันแล้ว รู้สึกยังไงกันบ้างหล่ะ พวกมหาเปรียญเก้า ทั้งหลาย
เห็นการที่อลัชชีตนนี้ มันย่ำยี ดูถูก กล่าวตู่ พระบรมศาสดา ไม่รู้ว่ามันไปเอาวิธีคิดวิปริตนี้มาจากไหน
แต่พวกทาสอลัชชี กลับชื่นชม นิยมชมชอบ สาธุ กันให้เซ็งแซ่
ทีนี้มาดูว่า พระไตรปิฎก กล่าวถึงตอนที่พระพุทธเจ้าผจญมาร เอาไว้อย่างไร
========================================
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
ปธานสูตรที่ ๒
[ที่มา: https://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php…]
[๓๕๕] มารได้เข้ามาหาเราผู้มีตนส่งไปแล้วเพื่อความเพียร บากบั่นอย่างยิ่ง เพ่งอยู่ ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อบรรลุนิพพานอันเกษมจากโยคะ
กล่าววาจาน่าเอ็นดูว่า ท่านผู้ซูบผอม มีผิวพรรณเศร้าหมอง ความตายของท่านอยู่ในที่ใกล้ เหตุแห่งความตายของท่านมีตั้งพันส่วน ความเป็นอยู่ของท่านมีส่วนเดียว ชีวิตของท่านผู้ยังเป็นอยู่ประเสริฐกว่า เพราะว่าท่านเป็นอยู่จักกระทำบุญได้ ท่านประพฤติพรหมจรรย์ และบูชาไฟอยู่ ย่อมสั่งสมบุญได้มาก ท่านจักทำประโยชน์อะไรด้วยความเพียร ทางเพื่อความเพียรพึงดำเนินไปได้ยาก กระทำได้ยาก ให้เกิดความยินดีได้ยาก มารได้ยืนกล่าวคาถาเหล่านี้ในสำนักของพระพุทธเจ้า
พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์นี้กะมารผู้กล่าวอย่างนั้นว่า
แน่ะมารผู้มีบาป ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของคนประมาท
ท่านมาในที่นี้ด้วยความต้องการอันใด
ความต้องการอันนั้นด้วยบุญ แม้มีประมาณน้อย ก็ไม่มีแก่เรา
ส่วนผู้ใดมีความต้องการบุญ มารควรจะกล่าวกะผู้นั้น
เรามีศรัทธาตบะ วิริยะ และปัญญา
ท่านถามเราแม้ผู้มีตนส่งไปแล้วผู้เป็นอยู่อย่างนี้เพราะเหตุไร
ลมนี้พึงพัดกระแสแม่น้ำทั้งหลายให้เหือดแห้งไปได้
เลือดน้อยหนึ่งของเราผู้มีใจเด็ดเดี่ยวไม่พึงเหือดแห้ง
เมื่อโลหิตเหือดแห้งไปอยู่ ดีและเสลษม์ย่อมเหือดแห้งไป
เมื่อเนื้อสิ้นไปอยู่ จิตย่อมเลื่อมใสโดยยิ่งสติปัญญา และสมาธิของเรา ย่อมตั้งมั่นโดยยิ่ง
เรานั้นถึงจะได้รับเวทนาอันแรงกล้าอยู่อย่างนี้ จิตย่อมไม่เพ่งเล็งกามทั้งหลาย
ท่านจงดูความที่สัตว์เป็นผู้บริสุทธิ์
กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๑ ของท่าน
ความไม่ยินดีเรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๒ ของท่าน
ความหิวและความระหาย เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๓ ของท่าน
ตัณหา เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๔ ของท่าน
ถีนมิทธะ เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๕ ของท่าน
ความขลาดกลัว เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๖ ของท่าน
ความสงสัย เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๗ ของท่าน
ความลบหลู่ ความหัวดื้อ เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๘ ของท่าน
ลาภ สรรเสริญ สักการะ เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๙ ของท่าน
และยศ ที่ได้มาผิดซึ่งเป็นเหตุ ให้บุคคลยกตนและดูหมิ่นผู้อื่นเรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๑๐ ของท่าน
แน่ะมาร เสนาของท่านนี้มีปกติ กำจัดซึ่งคนผู้มีธรรมดำ คนผู้ไม่กล้าย่อมไม่ชนะซึ่งเสนาของท่านนั้น ส่วนคนผู้กล้าย่อมชนะได้ ครั้นชนะแล้วย่อมได้ความสุข ก็เพราะเหตุที่ได้ความสุขนั้น แม้เรานี้ก็พึงรักษาหญ้ามุงกระต่ายไว้ น่าติเตียนชีวิตของเรา เราตายเสียในสงครามประเสริฐกว่า แพ้แล้วเป็นอยู่จะประเสริฐอะไร
สมณพราหมณ์บางพวกหยั่งลงแล้วในเสนาของท่านนี้ ย่อมไม่ปรากฏ ส่วนผู้ที่มีวัตรงาม ย่อมไปโดยหนทางที่ชนทั้งหลายไม่รู้
เราเห็นมารพร้อมด้วยพาหนะยกออกแล้วโดยรอบจึงมุ่งหน้าไปเพื่อรบ
มารอย่าได้ยังเราให้เคลื่อนจากที่ โลกพร้อมด้วยเทวโลกย่อมครอบงำเสนาของท่านไม่ได้
เราจะทำลายเสนาของท่านเสียด้วยปัญญา เหมือนบุคคลทำลายภาชนะดินทั้งดิบทั้งสุก ด้วยก้อนหิน
ฉะนั้น เราจักกระทำสัมมาสังกัปปะให้ชำนาญและดำรงสติให้ตั้งมั่นเป็นอันดี แล้ว จักเที่ยวจากแคว้นนี้ไปยังแคว้นโน้น แนะนำสาวกเป็นอันมาก สาวกผู้ไม่ประมาทเหล่านั้นมีใจเด็ดเดี่ยว กระทำตามคำสั่งสอนของเราจักถึงที่ซึ่งไม่มีความใคร่ ที่ชนทั้งหลายไปถึงแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ฯ
มารกล่าวคาถาว่า
เราได้ติดตามรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาคสิ้น ๗ ปี
ไม่ได้ประสบช่องของพระสัมพุทธเจ้าผู้มีศิริ
มารได้ไปตามลมรอบๆ ก้อนหินซึ่งมีสีคล้ายก้อนมันข้น ด้วยคิดว่า เราจะประสบความอ่อนโยนในพระโคดมนี้บ้าง ความสำเร็จประโยชน์พึงมีบ้าง
มารไม่ได้ความพอใจในพระสัมพุทธเจ้า ได้กลายเป็นลมหลีกไปด้วยคิดว่า
เราถึงพระโคดมแล้ว จะทำให้ทรงเบื่อพระทัยหลีกไป เหมือนกาถึงไสลบรรพต แล้วบินหลีกไป
ฉะนั้น พิณของมารผู้ถูกความโศกครอบงำแล้ว ได้ตกจากรักแร้ ลำดับนั้น มารนั้นเสียใจ ได้หายไปในที่นั้นนั่นแล ฯ
จบปธานสูตรที่ ๒
========================================
เปรียบเทียบให้เห็นกันจะจะ จะได้รู้ว่า อลัชชีต้นธาตุ ต้นธรรม มันย่ำยีพระบรมศาสดาอย่างไร
แล้วทำไม พวกทาสอลัชชีทั้งหลาย ถึงได้งมงายไม่เลิกเสียที
พุทธะอิสระ