บุคคลผู้ไม่มีความละอายพูดโกหกทั้งที่รู้อยู่ จักไม่ทำชั่วอย่างอื่นไม่มี
(มีมาใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภิกขุวรรค ๑. จูฬราหุโลวาทสูตร เรื่องพระราหุล)
๒๒ เมษายน ๒๕๕๙
ถึงเวลาให้บทเรียนแก่เจ้าคุณจอมลวงโลกแล้ว (ฉายาอันนี้ได้มาจากพฤติกรรม)
จำเลยคือพระโสภณพุทธิวิเทศ หรือพระจิตจิก์ ญาณชโย
มีตำแหน่งเป็นพระสังฆาธิการระดับราชาคณะ
เป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดพุทธาราม เบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันนี
มีความผิดข้อหาดูหมิ่นตามมาตรา ๓๙๓ ผู้ใดหมิ่นประผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ เดือนหรือปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และมาตรา ๓๒๖ ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท
ต้องวางโทษไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๒๘ ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใดๆ
แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกตัวอักษร
กระทำโดยการกระจายเสียง หรือกระจายภาพ หรือโดยการทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี และปรับไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
อีกทั้งเจ้าคุณเบอร์ลินมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกัลป์คอมพิวเตอร์ พุทธศักราช ๒๕๕๐
ในมาตรา ๑๔ ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุได้ดังต่อไปนี้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี หรือปรับไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามบทบัญญัติใน
๑. นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
………………………………………
พฤติการณ์
เมื่อวันที่ ๑๓ , ๑๕ และ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ พระโสภณพุทธิวิเทศ หรือ เจ้าคุณเบอร์ลิน ได้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จว่า ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวคำพูดเป็นคำถามแก่หลวงปู่พุทธะอิสระว่า เงินอุดหนุนที่รัฐบาลทูลถวายแด่สมเด็จพระสังฆราชเป็นประจำทุกปีๆ ละ ๒๓ ล้านบาทนั้น มีผู้ใดเป็นผู้เบิกไปใช้สอย แต่หลวงปู่พุทธะอิสระกลับห้ามไว้ไม่ให้ตอบ และยังเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จอีกว่านักข่าวที่ไปทำข่าวในวันที่ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินมิใช่นักข่าวประจำ สตง. แต่เป็นนักข่าวที่หลวงปู่พุทะอิสระจัดตั้งขึ้น ไว้ใช้ตีข่าวทำลายคณะสงฆ์
อีกทั้งยังใส่ความหลวงปู่พุทธะอิสระว่า เป็นเหลือบศาสนา กะล่อน โง่ และเหยียดหยามด้วยข้อความว่า “เขาจะตอบดันไปห้ามเขา” เป็นการทำให้ประชาชนและพุทธศาสนิกชนเข้าใจว่าหลวงปู่พุทะอิสระนี้เป็นพระภิกษุปลิ้นปล้อน โกหกหลอกลวง พูดไม่มีความจริง เบาปัญญา และคอยสูบกินแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยพระธรรมวินัยและกฎหมายจากพระพุทธศาสนา
ต่อมา กล่าวหาว่า หลวงปู่พุทธะอิสระเป็นหนึ่งใน แก๊งชั่ว ที่รวมตัวกันทำผิดตามกฎหมาย ลักษณะอั้งยี่ หรือ ซ่องโจร
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๙ ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการ และมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นสี่พันบาท
ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า ผู้จัดการหรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ ในคณะบุคคลนั้น ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปีและปรับไม่ เกินสองหมื่นบาท”
และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๑๐ ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค ๒ นี้ และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน เป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวาง โทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท”
และยังกล่าวอ้างว่า พระลิขิตนั้นปลอม บางส่วนของพระลิขิตไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย ไม่ถูกต้องตามกฎมหาเถรสมาคมและกฎหมาย และเหตุที่ มหาเถรสมาคมจำต้องยอมรับรองพระลิขิตนั้นก็เพื่อปกป้องพระเกียรติของพระสังฆราช เพื่อไม่ให้พระองค์ต้องทำผิดเสียเอง อันมีลักษณะเป็นการหมิ่นพระเกียรติสมเด็จพระสังฆราช
ผิดพรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๔๔ ทวิ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสมเด็จพระสังฆราช ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
……………………………………………..
และยังผิดจริยาพระสังฆาธิการ
ข้อ ๔๔ พระสังฆาธิการต้องเคารพเอื้อเฟื้อต่อกฎหมาย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ กฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช สังวรและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัด
ผิดพระธรรมวินัย มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑, ๒, ๓
– สัมปชานมุสาวาท บุคคลผู้จงใจจะพูดให้คลาดจากความจริง ต้องอาบัติปาจิตตีย์
– โอมสวาท ได้แก่คำพูดเสียดแทงให้เจ็บใจ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
– พูดส่อเสียด ต้องอาบัติปาจิตตีย์
(มีมาใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒)
ดังพุทธพจน์ที่ว่า
“บุคคลผู้ไม่มีความละอาย พูดโกหกทั้งที่รู้อยู่ จักไม่ทำชั่วอย่างอื่นนั้นไม่มี”
ทรงแสดงธรรมนี้แก่สามเณรราหุล
พุทธะอิสระ