สงสัยต้องจัดให้อีกซักดอกแล้วพี่น้อง

0
82

สงสัยต้องจัดให้อีกซักดอกแล้วพี่น้อง
๑๖ เมษายน ๒๕๕๙

160459-บทความ-สงสัยต้องจัดให้อีกซักดอกแล้วพี่น้อง
มีข่าวจากสำนักข่าวบีบีซีไทย กล่าวว่า

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ด้านเอเชียใต้ ออกมาแสดงความกังวลต่อการใช้อำนาจทางทหารเข้ามาแทรกแซงกระบวนการบังคับใช้กฎหมายของไทย

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวเร่งรัดเรียกร้องให้รัฐบาลทหารของไทยลดบทบาทกองทัพ และคืนอำนาจการบังคับใช้กฎหมายให้ฝ่ายพลเรือนโดยเร็ว

ด้านองค์กรสิทธิมนุษยชน คณะกรรมการนิติศาสตร์สากล ฮิวแมนไรท์วอทช์แอมเนสตี้อินเตอร์เนชันแนล ฟอรั่มเอเชีย สมาพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล และ องค์กรฟอร์ทิไฟท์ไรทส์

ทั้ง ๖ องค์กร ร่วมกันแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลคสช.ยกเลิกคำสั่งที่ ๑๓/๒๕๕๙ ซึ่งมีคำสั่งโดยสรุปว่า

๑. ทหารยศร้อยตรีทุกเหล่าทัพเป็นเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม
๒. ทหารชั้นประทวนเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน
๓. จับกุมผู้กระทำผิดหรือสงสัยว่ากระทำผิด
๔. ออกคำสั่งให้บุคคลมารายงานตัว ให้ถ้อยคำ ส่งเอกสาร
๕. จับกุมความผิดซึ่งหน้า ควบคุมตัวจับส่งพนักงานสอบสวน
๖. ช่วยเหลือสนับสนุนเข้าร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวนและเป็นพนักงานสอบสวนตาม ป.วิอาญา
๗. ค้นที่รโหฐานได้ไม่ต้องมีหมายค้นและไม่จำกัดเวลา
๘. เรียกบุคคลมาให้ข้อมูล มาให้ถ้อยคำ และควบคุมตัวบุคคลได้ ๗ วัน สถานที่ควบคุมจะต้องไม่ใช่ที่สถานีตำรวจเรือนจำทัณฑสถาน (สงสัยที่ค่ายทหาร)
๙. เป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตาม ป.วิอาญาด้วย
๑๐. ไม่อยู่ในข้อบังคับของกฎหมายปกครอง(บุคคลใดฟ้องศาลปกครองไม่ได้)
๑๑. ได้รับการคุ้มครองตามพรก.การบริหารราชการในสถานการฉุกเฉิน ๒๕๔๘

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๑๓/๒๕๕๙ นั้น สรุปใจความคือ ทหารยศร้อยตรี ขึ้นไปทั้ง ๓ เหล่าทัพ มีอำนาจจับกุมได้เอง ค้นได้เอง สืบสวนได้เอง ควบคุมตัวได้เอง แต่การสอบสวนต้องร่วมสอบสวนกับ พงส. ของตำรวจ ในบรรดาความผิดต่างๆ ที่บัญญัติไว้ท้ายคำสั่ง (มีเกือบทุกฐานความผิด) เเละสิ่งที่น่าสนใจคือ

๑. ทหารมีอำนาจควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ ๗ วัน ซึ่งมากกว่าตำรวจที่มีอำนาจควบคุมได้เพียง ๔๘ ชั่วโมง

๒. เมื่อผู้ต้องหาฝ่าฝืนเงื่อนไขตามสัญญาประกันตัวที่ให้ไว้กับฝ่ายทหาร มีความผิดในทางอาญาอีกข้อหาหนึ่ง แยกแตกต่างจากข้อหาเดิมที่ถูกจับกุม โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี ปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท แต่ถ้าเป็นสัญญาประกันที่ให้ไว้กับตำรวจ ถ้าผู้ต้องหาผิดเงื่อนไข ผู้ต้องหาไม่มีความผิดในทางอาญาอีก เพียงแต่เป็นเหตุให้ถูก (ตำรวจ) ยื่นคำร้องขอเพิกถอนสัญญาประกันเท่านั้น

[ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/692875]
……………………………………

วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๙ พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่มีรายงานข่าวว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เรียกร้องให้จำกัดอำนาจของทหารลง หลังมีคำสั่ง คสช. ที่ ๑๓/๒๕๕๙ ออกมา ว่า

คำสั่ง คสช. ที่ ๑๓/๒๕๕๙ มีเจตนารมย์ และสาระสำคัญ เพื่อให้ทหารร่วมเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ในการจับกุม ปราบปราม มาเฟีย ผู้มีอิทธิพล และผู้กระทำการอันเป็นภัยต่อสังคม อาทิ ค้ายาเสพติด ซึ่งกระบวนและขั้นตอนการติดตามจับกุมโดยปกติทำได้ล่าช้า มีความเสี่ยง และอาจเกิดอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ส่งผลให้กลุ่มผู้กระทำผิดจำนวนหนึ่งไม่เคยถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

คำสั่งฉบับนี้ ช่วยสนับสนุนให้สามารถจับกุมผู้ทำตัวเป็นภัยต่อสังคมได้รวดเร็วขึ้น ปกป้องดูแลประชาชนผู้บริสุทธิ์ และนำผู้กระทำผิดขึ้นสู่การพิจารณาของศาล

ส่วนผลการตัดสินลงโทษจะออกมาเป็นเช่นไร ขึ้นกับการใช้ดุลยพินิจซึ่งเป็นอำนาจของศาลสถิตยุติธรรม ที่ไม่มีผู้ใด หรือ องค์กรใดก้าวล่วงได้ และไม่ว่าจะขึ้นศาลทหาร หรือศาลพลเรือน การพิจารณาก็ใช้ระบบสามศาล รวมทั้งใช้กระบวนการพิจารณาไม่แตกต่างกัน

“อยากแนะนำให้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ได้ใช้เวลาศึกษาเนื้อหาในคำสั่ง คสช. ฉบับดังกล่าวให้รอบคอบก่อนแสดงความคิดเห็น เพราะเมื่อวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความถูกต้องย่อมจะทำให้เสียภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือต่อตนเอง หน่วยงาน และประเทศสหรัฐอเมริกา

หากไม่มีโอกาสได้ศึกษาข้อมูลด้วยตนเอง สามารถขอคำอธิบายได้จากท่านทูต หรือ เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่พร้อมให้ข้อมูลตลอดเวลาตามบัญชาของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

รวมทั้งต้องระมัดระวังการได้มาซึ่งข้อมูลที่จงใจบิดเบือนให้คลาดเคลื่อนจากบรรดาบริษัทประชาสัมพันธ์ที่ถูกจ้างวานมาด้วยเจตนาเคลือบแฝงและเป็นพิษต่อประเทศไทย ซึ่งผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นมิตร ไม่ควรกระทำต่อมิตรเช่นนี้”

พลตรีสรรเสริญ กล่าวต่อว่า หลายครั้งที่รัฐบาลไทยรู้สึกไม่ยินดีต่อท่าทีและการแสดงออกเช่นนี้ เพราะสหรัฐอเมริกาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าและให้ความสนใจในเรื่องข้อมูลข่าวสารจึงไม่น่าเป็นไปได้ว่า จะไม่รู้หรือไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่าง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษหนีคดีอาญา กับกลุ่มในประเทศไทยที่พยายามกระทำผิดกฎหมายความมั่นคงและความสงบทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อยั่วยุให้เจ้าหน้าที่จับกุม แล้วนำมาอ้างว่าเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนซึ่งถือเป็นการอ้างที่ยอมรับไม่ได้

“หากมีบุคคลกระทำผิดกฎหมายของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ในสหรัฐอเมริกา โดยอ้างว่าเป็นสิทธิมนุษยชนที่จะกระทำ เชื่อว่าบุคตลนั้นคงไม่รอดพ้นจากการถูกลงโทษ ดังนั้นอยากเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ใช้มาตรฐานเดียวกันกับหลักการปฏิบัติในประเทศของท่าน ก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ประเทศอื่น”

อย่างไรก็ตาม วานนี้ (๖ เม.ย. ๒๕๕๙) พลตรีสรรเสริญ ได้ระบุว่า นายกฯ ไม่สบายใจต่อการแสดงท่าทีของโฆษก กต.สหรัฐฯ ที่เรียกร้องให้ คสช. จำกัดอำนาจของทหาร หลังจากที่สำนักข่าวเอพีได้รายงานว่าโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เรียกร้องให้ คสช. จำกัดอำนาจของทหาร หลังมีคำสั่ง หน.คสช.ที่ ๑๓/๒๕๕๙ ซึ่งเป็นคำสั่งที่เกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามความผิดที่เป็นภยันตรายของประเทศ

[ที่มา: https://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1460013778]

——————————-

เห็นความจุ้นจ้านชอบแส่ของสหรัฐอเมริกาที่กระทำต่อรัฐบาลไทย ประเทศไทย และคนไทย
มันทำให้ฉันคิดว่า พวกเราน่าจะเดินทางไปบอกเขาให้รู้ว่า ประเทศไทยมีเอกราชเป็นของตนเอง ไม่ได้ตกเป็นทาสของสหรัฐ

หากสหรัฐคิดว่าไทยเป็นมิตรประเทศก็ควรให้เกียรติมิตรประเทศอย่างเรา

ไม่ควรจะมาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย และควรจะเคารพในบูรณภาพอธิปไตยของแผ่นดินไทย

จะพูดจะวิจารณ์สิ่งใด ก็ควรอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และเคารพให้เกียรติ อย่าเห็นว่าประเทศไทยเป็นดั่งลูกกระจ๊อก นึกจะด่าจะตะคอกหรือจิกหัวใช้ ก็ทำได้ตามอำเภอใจ

เห็นทีพวกเราคงต้องจุ้นจ้าน แสดงพลังสั่งสอนให้ประเทศปาราชิกนี้ได้รู้เสียบ้างแล้วว่า
พวกเราคนไทย มิใช้ทาสของคุณ

พุทธะอิสระ