สู้กับพวกอลัชชีหน้าด้านที่มีมากมายจนรู้สึกเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน
๑๒ เมษายน ๒๕๕๙
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่ศาลาวัดอ้อน้อยธรรมอิสระ เวลาบ่ายโมงเศษ อากาศร้อนมาก ร้อนจนแสบผิวหนัง ปวดกระบอกตา ปวดหัว มึนหัวไปหมด แต่ก็มิอาจหลบเลี่ยงหน้าที่ที่ต้องแสดงธรรม สอนกรรมฐาน ร้อนจนสมองเบลอ บอกไตรสรณคมน์ไม่ครบ ถือเป็นความผิดพลาดอย่างน่าละอายมากๆ พอให้ศีลเสร็จจึงต้องขออภัยชาวบ้านที่ให้ไตรสรณคมน์ไม่ครบ
ในขณะที่กำลังแสดงธรรมก็ต้องใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดหัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อลดความร้อนภายในกาย กว่าจะแสดงธรรมและสอนกรรมฐานจบก็ปาเข้าไป ๕ โมงเศษ ออกจากศาลาด้วยความอิดโรย อ่อนเพลีย
มาถึงกลางนา มหาหยกมาแจ้งว่ามีกลุ่มวิศวะจุฬา (กลุ่มจุฬาประชาคม) ขอเข้าพบจึงออกมาพบ นั่งพูดคุยกันได้ซักชั่วโมงเศษๆ พอกลุ่มจุฬาฯ กลับฉันจึงเข้าห้องน้ำ ถ่ายท้องออกมามีแต่น้ำ คงเป็นเพราะวันนี้ทั้งวันแทบไม่ได้ฉันอะไรเลย ทั้งเช้าทั้งเพล เห็นอาหารแล้วมันเบื่อ ฉันไม่ลง
เย็นนี้เช่นเคย เดินออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสายประจำวันยามเย็น แต่ขามันจะหมดแรง เลยให้เจ้าดาบแจ้ ขับรถหรูซาเล้งบรรทุกต้นไม้พาฉันขึ้นนั่งหน้ารถพร้อมลูกหมูป่าชื่อ เจ้าโชค ไปดูแปลงผัก ฉันสั่งให้คนงานนำต้นดอกคำไทยที่สามารถเป็นยาฟอกเลือด บำรุงเลือดไปปลูกขยายพันธุ์เอาไว้เก็บดอกทำยา กว่าจะปลูกแล้วเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มเศษ บรรยากาศยังไม่มืดเลย
มาถึงกุฏิ ให้อาหารปลาเสร็จแล้ว ฉันน้ำ ๑ ขวด พักนิดหนึ่ง รู้สึกเพลียมาก จึงคิดว่า ขอสรงน้ำก่อนเพราะจะจำวัดแต่หัวค่ำ รู้สึกอาการไม่ค่อยดี พอเข้าห้องน้ำ กำลังจะก้มหน้าหยิบขันตักน้ำอาบ อยู่ดีๆ วูบหัวทิ่ม คิ้วกระแทกกับขอบกะละมังใส่น้ำ มือเท้าหมดแรง
ฉันพยายามเรียกความระลึกได้รู้ตัวกลับมาแล้วเดินลมอยู่พักใหญ่ ตอนนั้นรับรู้ได้ว่าชีพจรเต้นอ่อนมาก ไม่อยากหายใจ ร่างกายหมดเรี่ยวแรง เดินลมได้ซักพักก็มาสำรวจดูว่าส่วนไหนของร่างกายผิดปกติบ้าง เริ่มตั้งแต่ขา แขน ลำตัว และหัว ทุกอย่างเป็นปกติ เว้นแต่ที่หางคิ้วข้างซ้ายมีเลือดไหล
ฉันนั่งแล้วตักน้ำชำระล้างร่างกายจนแล้วเสร็จ ลองส่องกระจกดูทำให้รู้ว่า หางคิ้วซ้ายมีรอยแตกเป็นทางยาวไม่มาก มีเลือดไหลออกมาตลอดเวลา เช็ดเนื้อเช็ดตัว นุ่งสบงทรงจีวรเสร็จแล้วนำสำลีมาเช็ดแผล นำขี้ผึ้งเทพโอสถมาทาปิดปากแผล เลือดก็หยุดไหล จึงเริ่มเจริญมนต์ ทำจิตภาวนา
จิตสงบระงับจากสิ่งเร้า ปราศจากเครื่องปรุงแต่งทั้งปวง แล้วแผ่เมตตา ล้มตัวลงนอน มาตื่นอีกทีตีห้าครึ่ง ถือว่าวันนี้ฉันนอนตื่นสายมาก แม้จะนอนพักผ่อนมาอย่างเต็มที่ ตื่นเช้าร่างกายกลับเปลี้ยเพลีย แข็งใจเดินออกไปสั่งงานคนงาน เดินเล่นเลยไปห่อชมพู่เพชรสายน้ำผึ้ง ที่ฉันปลูกเอาไว้ ปีนี้มันออกลูกดกมากดังที่เห็น
วันนี้ (๑๑ เมษายน ๒๕๕๙) หลังฉันเพลแล้วต้องเดินทางไปสถานี ไบรท์ทีวี เพื่ออัดรายการ “ทุบโต๊ะข่าว” ๑ ชั่วโมง ขณะที่เดินทาง พิจารณามองเห็นความเสื่อมภายในกายตนแล้วทำให้อยากกลับไปอยู่ป่า
ถ้าฉันไม่ติดภารกิจและสัจจะวาจาที่ถวายแด่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงมอบให้ฉันดำเนินการปกป้องพระธรรมวินัย จากอลัชชีธัมมชโย และลัทธิธรรมกายแล้วล่ะก็ ฉันคงมีชีวิตที่อิสระ สงบเย็นได้มากกว่านี้
ทำอย่างไรได้ เมื่อภารกิจนี้ไม่มีใครทำ พุทธะอิสระก็พร้อมที่จะทำอย่างทุ่มเทด้วยชีวิต เพื่ออุทิศถวายแด่องค์สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๙ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐพระองค์นั้น
ขณะที่นั่งรถกลับ เจ้าวารินเล่าให้ฉันฟังถึงวีรกรรมของเจ้าแจ้ว่า พี่แจ้กับพวกผมไปนั่งดื่มกาแฟระหว่างรอหลวงปู่ เด็กเสริฟนำกาแฟเย็นมาให้พี่แจ้พร้อมหลอด พี่แจ้คงอยากกินกาแฟมาก ยกแก้วกาแฟขึ้นดูดจากหลอดเสียงดังจ๊วบ แต่กาแฟไม่ขึ้นตามแรงดูด ซักครู่เจ้าแจ้พูดกับเจ้าเจมส์ว่า ตายห่า มึงเอ๊ย มึงอย่าไปบอกใครนะว่ากูดูดกาแฟโดยไม่เอากระดาษห่มหลอดออก
ฉันฟังเจ้าวารินเล่าเลยระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
เจ้าวารินเล่าต่อว่า ส่วนพี่กุดเขานั่งรอหลวงปู่อยู่หน้าห้องอัด ขณะที่นั่งก็ม้วนยาเส้นกับใบจากเพื่อทำเป็นบุหรี่ดูด พนักงานของไบรท์ทีวีเดินมาถามร้อยตำรวจโทกุดแถลง ว่า น้องๆ ไหนล่ะเอกสารที่นำมาส่ง กุดแถลงกำลังก้มหน้าก้มตานั่งม้วนบุหรี่สูบอย่างเอาเป็นเอาตาย พอถูกถามถึงเรื่องเอกสารจึงแสดงอาการเป็นงง พร้อมละล่ำะละลักพูดว่า
ไม่ๆ ไม่ใช่ครับ ผมเป็นผู้ติดตามหลวงปู่ครับ
ฟังเจ้าวารินเล่าแล้วทั้งขำ ทั้งสมเพช นึกภาพเห็นอัตลักษณะของผู้ติดตามฉันแล้วสุดบรรยาย ที่จริงฉันก็พยายามกำชับแล้วนะว่า
ไอ้แจ้ มึงห้ามเข้าห้องน้ำนะ เดี๋ยวจะไปทำก๊อกน้ำเขาเสียอีก
พอฉันเผลอ มันก็ทำวีรกรรมให้อับอายขายขี้หน้าไปทั้งร้านกาแฟจนได้
เจ้าดำมันมาเล่าให้ฟังว่า พอพี่แจ้ดูดกาแฟไม่ขึ้น ยังโวยวายพูดเสียงดัง คนทั้งร้านเขาหันมามองจนผมต้องบอกว่า เบาๆ หน่อย คนเขามองกันแล้ว
พุทธะอิสระ