บทความ
รายงานความคืบหน้าคดีพระลิขิต
๒๑ มีนาคม ๒๕๕๙
วันนี้ทนายในฐานะตัวแทนฉัน ได้รับการติดต่อจากดีเอสไอเข้าไปรับทราบความคืบหน้าในการสืบสวน สอบสวนคดีพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชทรงโจทก์ธัมมชโยให้ต้องอาบัติปาราชิก
และมีบุคคลใดเข้าข่ายฐานความผิดข้อหาละเว้นตามมาตรา ๑๕๗ บ้าง
ซึ่งฉันในฐานะเป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ จึงเป็นสิทธิที่จะได้ทบทวนความคืบหน้าของคดี
ทนายอั๋นหลังจากได้รับทราบความคืบหน้าของการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้แล้ว
จึงกลับมาทำรายงานสรุปให้ฉันทราบเป็นประเด็นๆ ดังนี้
………………………………………………….
– พระลิขิตนั้นถือเป็นคำสั่งของสมเด็จพระสังฆราชที่ชอบด้วยกฎหมาย
– มหาเถรสมาคมได้มีมติรับรองพระลิขิตแล้ว จึงใช้บังคับได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
– ดีเอสไอสอบพยาน พบประเด็นเพิ่มเติมว่า นายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญการศาสนา กรมการศาสนา ได้ยื่นอธิกรณ์ตามกฎนิคหกรรม ต่อคณะผู้พิจารณาชั้นต้น เนื่องด้วยได้รับมอบอำนาจจากกรมการศาสนาให้เป็นผู้แทนกรมการการศานา ดำเนินอธิกรณ์
– เมื่อคณะผู้พิจารณาได้รับคำฟ้องอธิกรณ์แล้ว มีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง อ้างเหตุฆราวาสฟ้องพระไม่ได้ อธิกรณ์เป็นอันเสร็จไปตาม กฎนิคหกรรม
– สมเด็จวัดชนะสงคราม ได้ตรวจความเห็นไม่รับฟ้องแล้ว สมเด็จมีความเห็นว่า คำสั่งไม่ถูกต้อง กรมการศาสนาจึงได้เชิญคุณมีชัย ฤชุพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย มาสอบถามความเห็น นายมีชัยฯ มีความเห็น คำสั่งไม่รับฟ้องไม่ชอบ
– สมเด็จวัดชนะจึงมีคำสั่งให้ ปลด หัวหน้าคณะผู้พิจารณาชั้นต้น (เจ้าคณะภาค ๑ วัดยานนาวา เจ้าคุณวิลาศ) แล้วตั้งใหม่
– เมื่อมีการตั้งเจ้าคณะภาค ๑ ใหม่ จึงมีคำสั่งดำเนินอธิกรณ์ต่อ
– กระทั่ง ต่อมาศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตในการถอนฟ้อง คณะผู้พิจารณาชั้นต้น จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องอธิกรณ์ไว้พิจารณา แล้วแจ้งคำสั่งแก่นายมาณพ พลไพรินทร์ รับทราบแล้ว
– นายมาณพ พลไพรินทร์ แจ้งกลับว่า ตนออกจากราชการแล้ว และมีอายุมาก ไม่สะดวกดำเนินคดีต่อ
– เหตุดังกล่าว สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กลับนำมาเป็นเหตุ ตอบหนังสือเร่งรัดของ ดีเอสไอ ว่า อธิกรณ์สิ้นสุดแล้วด้วยเหตุนายมาณพ พลไพรินทร์ ไม่อุทธรณ์คำสั่งคณะผู้พิจารณาชั้นต้นภายในกำหนดเวลาตามกฎนิคหกรรม
– ดีเอสไอ มีความเห็นว่า การถอนฟ้องของนายมาณพ พลไพรินทร์ เป็นการถอนฟ้องโดยที่ไม่ได้รับมอบอำนาจถอนฟ้องจาก กรมการศาสนา หรือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในปัจจุบัน การถอนฟ้องนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีอำนาจถอนฟ้อง เมื่อนายมาณพ พลไพรินทร์ ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากกรมการศาสนา ออกจากราชการแล้ว ชอบที่ กรมการศาสนาหรือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ท่านอื่นเข้าดำเนินการแทนได้ แต่มิได้ดำเนินการ
– เมื่อพบว่าการที่คณะผู้พิจารณาชั้นต้นอนุญาตให้นามาณพ พลไพรินทร์ ถอนฟ้องไปนั้น โดยที่ไม่ได้รับมอบอำนาจจากกรมการศาสนา เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น กรมการศาสนา หรือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีหน้าที่โดยตรง ที่ต้องถวายคำแนะนำ ให้คณะผู้พิจารณาชั้นให้ปฎิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย คือ ไม่อนุญาตให้ถอนฟ้อง และ มีหนังสือสอบถามถึงกรมการศาสนา หรือ สำนักงานพระพุทธศาสนา ว่าจะดำเนินการประการใดต่อไป
– ดังนั้น การที่อ้างว่า คดีอธิกรณ์ เสร็จสิ้นแล้วนั้นจึงเข้าข่ายละเว้นการปฎิบัติหน้าที่
– (ลักษณะที่พบ คือ ปกปิด ซ่อนเร้น ขัดขวาง การดำเนินการที่ถูกต้อง หลายขั้นตอน)
………………………………………………….
จะเห็นได้ว่าดีเอสไอพยายามตีความข้อกฎหมายอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่เลือกปฏิบัติ
ทั้งยังไม่พยายามก้าวล่วงต่อองค์กรปกครองสงฆ์อย่างมหาเถรสมาคมโดยกันเอาไว้เป็นพยาน
เป็นการยืนยันว่ารัฐบาลหาได้คิดล้มล้างการปกครองคณะสงฆ์ หรือทำลายสังฆมณฑลดังที่พวกนักบวชจีวรแดงกล่าวหาไม่
ซึ่งท่านทั้งหลายจะจับประเด็นรายละเอียดในการวินิจฉัยในแต่ละประเด็นถือว่าเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง
งานต่อมาสำนวนการสืบสวนสอบสวนทั้งหมดนี้จะถูกส่งไปให้ ป.ป.ช. ทำการพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมาย ป.ป.ช. สืบไป
ส่วนความบกพร่องของมหาเถร พุทธะอิสระรอที่จะเชือดอยู่ เมื่อหน่วยงานของรัฐชี้มูลความผิดชัดเจนแล้ว
พุทธะอิสระ