เขียนได้สะเทือนติ่ง กระดิ่งตับมากคุณ ขออนุญาแชร์นะจ๊ะ

0
103

บทความ

เขียนได้สะเทือนติ่ง กระดิ่งตับมากคุณ ขออนุญาแชร์นะจ๊ะ

080359-บทความ-เขียนได้สะเทือนติ่ง-กระดิ่งตับมากคุณ-ขออนุญาแชร์นะจ๊ะ

บวชทำไม-ทำบุญกับใครได้บุญ?
วันอังคารที่ 8 มีนาคม 2559 – 00:00

 

เดี๋ยวนี้คนตื่นดาวกันมาก เมื่อวาน เผลอเรียกมฤตยูเป็นราหูเท่านั้นแหละ “นักนิยมดาว” ทักกันเกรียว ก็ขอบคุณ

 

“มฤตยู” ชื่อน่ากลัว

 

เปลี่ยนเป็นชื่อ “ดาวโล้น” น่าจะสะท้อนอิทธิพลตรงสภาพเป็นจริงที่ “ทับดวงเมือง” อยู่ตอนนี้มากกว่า!

 

เรื่องตั้งพระสังฆราชนี่ ถามจริงๆ “ตั้ง-ไม่ตั้ง” ใครเดือดร้อน?

 

-พระสงฆ์ ผู้เจริญตามพระธรรมวินัย ไม่เดือดร้อน

 

-เทวดาและมนุษย์ มีสัมมาทิฐิ รู้ถึงกุศลกรรมและอกุศลกรรม ไม่เดือดร้อน

 

จะมีผู้เดือดร้อน ถึงขั้นดิ้นเร่าๆ เท่าที่เห็นมีอยู่ ๓ พวก

 

๑.พระผู้มักมาก

 

แทนที่จะใช้ยานคือมรรค ๘ ทำอริยสัจ ๔ ให้แจ้ง สู่อริยะ กลับใช้รถเถื่อนเป็นยาน สู่อบาย จมเมือกดาวรวยและเงินวัดน้อง ยิ่งแก่วัด-แก่พรรษา ยิ่งเหมือนนกติดตัง

 

๒.อลัชชี-เดียรถีย์

 

ใช้เครื่องแบบสงฆ์คลุมร่าง บ้างสึกออกไปหากินไม่รอด ก็เกาะวัด “อ้างพิทักษ์ศาสนา” แต่เนื้อแท้ เอาศาสนาไปพิทักษ์โจร

 

รู้ดี-รู้ชั่ว เป็นอาจารย์สอนพระด้วยซ้ำ แต่มุ่งชั่ว แลก “ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข” ยัดกระเพาะ

 

๓.อสัตย์บ้าน-อสัตย์เมือง

 

ด้วยมิจฉาทิฐิ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ใช้เงิน-ใช้อามิส ล่อพระเป็นสมุน แสวงหาประโยชน์เพื่อตนทุกรูปแบบในทางไม่ชอบ

 

เนี่ย…มีบุคคล ๓ เหล่า นี่แหละ ……….

 

ดูจะเร่าร้อน กระวน-กระวาย เมื่อการแต่งตั้งพระสังฆราชไม่เป็นดังใจ ก็เต้นเร่าๆ

 

เปลือกเหลือง-เปลือกโล้น ที่คลุมร่าง…จึงหลุด เผยให้เห็นสันดานอันธพาลแดงในคราบเหลืองชัดแจ้ง!

 

เมื่อวาน (๗ มี.ค.๕๙) เห็นทนาย “หลวงพี่แป๊ะ” นำรถเบนซ์เถื่อน ขม ๙๙ ใส่รถบรรทุกไปให้ DSI

 

ทนายเขาว่า……….

 

“ผมเป็นตัวแทนหลวงพี่แป๊ะมาส่งมอบรถยนต์โบราณ เนื่องจาก DSI เคยบอกว่ารถมีความผิดอย่างไร แต่ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับทางวัด จึงตัดสินใจส่งมอบรถให้ไปพิสูจน์ว่า รถคันนี้ผิดกฎหมายหรือไม่ หากผิด ก็ให้ไปดำเนินคดีกับผู้ขายรถให้สมเด็จช่วง โดยนายวิชาญ รัษฐปานะ เป็นผู้ขาย และเป็นเจ้าของอู่วิชาญ เพราะเราเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่ผู้ต้องหา”

 

ทนายคนนี้ น่าเอ็นดู๊…เราเป็นผู้ซื้อ-เป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่ผู้ต้องหา ถ้ารถผิดกฎหมาย ก็ไปดำเนินคดีกับผู้ขาย

 

แล้วทนายรู้มั้ย…….

 

รถคันนี้ ผิดถึง ๔ ขั้นตอน คือตั้งแต่ขั้นตอนนำเข้า-การจดประกอบ-การเสียภาษีสรรพสามิต-การจดทะเบียนรถ ผิดทั้ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ร.บ.สรรพสามิต และกฎหมายอาญาเรื่องแจ้งข้อความเป็นเท็จ-การปลอมแปลงเอกสาร
แล้วลืมหรือไง?

 

ทางวัดแถลงเองแต่แรกว่า พระมหาศาสนมุนี หรือ หลวงพี่แป๊ะ ในฐานะเลขาฯ สมเด็จช่วงนั่นแหละ ควัก ๔ ล้าน จัดหา-จัดซื้อถวาย

 

ใบเสร็จ “สั่งซื้ออะไหล่-จ้างประกอบ” ๔ ล้าน ชื่อหลวงพี่แป๊ะหรา หลอกพระให้หลงดีใจไปเถอะ เบิกง่ายดี

 

แล้วเมื่อวาน แก๊งอลัชชีประสาร ประกาศ “ยกระดับ” ชุมนุมเดียรถีย์ ว่ายังไงบ้างล่ะ?

 

เห็นแต่ข่าวแวบๆ ตำรวจนิมนต์ไปปรับทัศนคติ

 

ต้องไปนิมง-นิมนต์ทำไม ทำเรื่องฟ้องไปที่เจ้าคณะปกครอง “ต้นสังกัด” ไต่สวนอธิกรณ์ดีกว่า

 

เพราะถึงตอนหนักหนา………

 

จากผิดซ้ำซากทั้งกฎหมายและพระวินัย จะได้กระชากผ้าเหลือง เอาตัวไปดำเนินคดี โดยทางมหาเถรฯ อ้างไม่ได้

 

ก็ฟ้องทางคณะปกครองแล้วไม่จัดการ ก็ต้อง “กระชากอลัชชี” เป็นการทำคุณให้พระศาสนา

 

ผมดูอลัชชีเจ้านี้แล้ว ก็อยากถามชาวบ้านว่า เราเลี้ยงพระให้ “ฉันเพื่ออยู่” เพื่อปฏิบัติพระธรรมวินัย เป็นการสืบต่ออายุพุทธศาสนา

 

หรือว่า….เรา “ขุนหมู” กันแน่?

 

พระอ้วน ตามลักษณะเป็นแบบหนึ่ง กินน้อย-นอนน้อย-งานหนัก ก็ยังอ้วนเอง เช่น พุทธทาส ภิกขุ เป็นต้น

 

แต่อ้วนแบบฉุทั้งตัว จนคอตัน ราศีผ้าเหลืองไม่มี มีแต่คราบไขมัน-ฮอร์โมนส่วนเกินล้นทะลัก

 

กิจสงฆ์พึงทำ “ประหารกิเลส-ตัณหา” ไม่ปรากฏ

 

ปรากฏแต่เพิ่มพูนอธรรม รับใช้โจรระบอบทักษิณบ้าง ระดมอลัชชี-เดียรถีย์ กวนเมืองบ้าง

 

กระทั่ง “ตำแหน่งสังฆราช” ซึ่งทางโลกอุปโลกน์แท้ๆ ยังหื่นกระหาย เมื่อไม่เป็นดังใจ สมณสารูปก็หาย

 

กักขฬะโจรก็ปรากฏ!

 

ดูไว้…ญาติโยม อย่าขุนพระให้เป็นหมูจมรำ จงทำนุบำรุงพระพอมีแรงปฏิบัติธรรม

 

แล้วธรรมจากพระผู้ผ่องแผ้วนั้น จะเลี้ยงโลกและสัตว์โลก

 

ให้ “รอดและสุข” ด้วยธรรม!

 

ทุกวันนี้ คนบวช บางทีก็ไม่รู้ บวชเพื่ออะไร?

 

คนทำบุญ ก็ไม่รู้ เห็นเหลืองๆ-โล้นๆ นึกว่าตัวบุญ หย่อนใส่บาตร นึกว่าได้บุญ?

 

เอางี้…มาศึกษาให้รู้จากปัญหาดีกว่า ก่อนพระพุทธองค์จะปรินิพพาน ได้ตรัสไว้หลายเรื่อง

 

ในพระสุตตันตปิฎก ว่าด้วย “เหตุประพฤติพรหมจรรย์” มีดังนี้

 

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย! ……….

 

บุคคลผู้ตระหนี่ เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็กักตุนไว้ ไม่ถ่ายเทให้ผู้อื่นบ้าง ก็เหมือนแม่น้ำตาย ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร

 

ส่วนผู้ไม่ตระหนี่ เหมือนแม่น้ำที่ไหลเอื่อยอยู่เสมอ กระแสน้ำก็ไม่ขาด ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย

 

เพราะฉะนั้น สาธุชนได้ทรัพย์แล้วพึงบำเพ็ญตนเสมือนแม่น้ำซึ่งไหลใสสะอาด ไม่พึงเป็นเช่นแม่น้ำตาย

 

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย….อายะสัมปทา หรือทาน จะมีผลมาก อานิสงส์ไพศาล ถ้าประกอบด้วยองค์ ๖ คือ

 

๑.ก่อนให้ ผู้ให้ ก็มีใจผ่องใส ชื่นบาน
๒.เมื่อกำลังให้ จิตใจก็ผ่องใส
๓.เมื่อให้แล้ว ก็มีความยินดี ไม่เสียดาย
๔.ผู้รับ เป็นผู้ปราศจากราคะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากราคะ
๕. ผู้รับ เป็นผู้ปราศจากโทสะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากโทสะ
๖. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากโมหะ

 

ภิกษุทั้งหลาย………

 

ทานที่ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล เป็นการหายาก ที่จะกำหนดผลแห่งบุญว่า มีประมาณเท่านั้น-เท่านี้ อันที่จริง เป็นกองบุญใหญ่ที่นับไม่ได้ ไม่มีประมาณ เหลือที่จะกำหนด

 

เหมือนน้ำในมหาสมุทรย่อมกำหนดได้โดยยาก ว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้

 

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย….

 

คราวหนึ่ง “พระเจ้าปเสนทิโกศล” ราชาแห่งแคว้นนี้ เข้าไปหาตถาคตและถามว่า บุคคลควรจะให้ทานในที่ใด?

 

เราตอบว่า ควรให้ในที่ที่เลื่อมใส คือเลื่อมใสบุคคลใด คณะใด ก็ควรให้แก่บุคคลนั้น ในคณะนั้น

 

พระองค์ถามต่อไปว่า “ให้ทานในที่ใดจึงจะมีผลมาก?”

 

เราตถาคตตอบว่า “ถ้าต้องการผลมากแล้วละก็ ควรจะให้ทานในท่านผู้มีศีล การให้แก่บุคคลผู้ทุศีล หามีผลมากอย่างนั้นไม่

 

สถานที่ทำบุญ เปรียบเหมือนเนื้อนา เจตนาและไทยทานของทายก เปรียบเหมือนเมล็ดพืช

 

ถ้าเนื้อนาดี คือบุคคลผู้รับเป็นคนดี มีศีลธรรม และประกอบด้วยเมล็ดพืช คือเจตนาและไทยทานของทายก บริสุทธิ์ทานนั้น ย่อมมีผลมาก

 

การหว่านลงในนาที่เต็มไปด้วยหญ้าแฝกและหญ้าคา ต้นข้าวย่อมขึ้นได้โดยยาก ฉันใด การทำบุญในคณะบุคคลผู้มีศีลน้อย มีธรรมน้อย ก็ฉันนั้น คือย่อมได้บุญน้อย

 

ส่วนการทำบุญในคณะบุคคลซึ่งมีศีลดี มีธรรมงาม ย่อมจะมีผลมากเป็นภาวะอันตรงกันข้ามอยู่ดังนี้

 

เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรประมาทว่า บุญหรือบาป เพียงเล็กน้อยจะไม่ให้ผล หยาดน้ำที่ไหลลงทีละหยด ยังทำให้แม่น้ำเต็มได้ ฉันใด การสั่งสมบุญหรือบาปแม้ทีละน้อย ก็ฉันนั้น

 

ผู้สั่งสมบุญ ย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยบุญ ผู้สั่งสมบาป ย่อมเพียบแปล้ไปด้วยบาป”

 

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย…….

 

พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติมิใช่เพื่อหลอกลวงคน

 

มิใช่เพื่อให้คนทั้งหลายมานับถือ

 

มิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะและความสรรเสริญ

 

มิใช่จุดมุ่งหมายเพื่อเป็นเจ้าลัทธิและแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้

 

มิใช่เพื่อให้ใครรู้จักว่าเป็นอย่างนั้น-อย่างนี้

 

ที่แท้…พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติ …………

 

เพื่อสังวระ คือความสำรวม

 

เพื่อปหานะ คือความละ

 

เพื่อวิราคะ คือคลายความกำหนัดยินดี และ

 

เพื่อนิโรธะ คือความดับทุกข์”

 

นี้คือคำตอบ “บวชเข้ามาเป็นพระเพื่ออะไร?”

 

ธรรมที่ควรประพฤติปฏิบัติ นั่นคือ ธรรม-วินัย จากโอษฐ์พระพุทธองค์

 

ไม่ใช่ธรรมที่เรียก “ธรรมกาย-ธัมมชโย”

 

มหาเถรฯ คงเข้าใจ!?

 

พุทธะอิสระ

 

(ขอขอบคุณบทความจาก เปลว สีเงิน และ ไทยโพสต์)