บทความ
คนมันสันดานแถกแถ ยังไงมันก็แถไม่เลิก
๕ มีนาคม ๒๕๕๙
…………………………………..………………..
พระเมธีธรรมาจารย์ – เจ้าคุณประสาร
วันนี้ 4 มีนาคม 2559 สำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน จะแถลงคำวินิจฉัย ขั้นตอนการเสนอรายนามสมเด็จพระราชาคณะเพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ตามคำร้องของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน และนายแพทย์มโน เลาหวณิช
ก่อนที่จะมีการแถลงวันนี้ มีข่าวทางสื่อมวลชนเป็นจำนวนมากว่า ผลอาจจะออกมาในทำนองเดียวกับที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องไป
จึงมีคำถามเกิดขึ้นตามมามากมายว่า
1.คณะผู้ตรวจการแผ่นดิน ใช้อำนาจอะไรมาวินิจฉัย จากบทบัญญัติไหน หมิ่นเหม่ต่อการถูกฟ้องร้องกลับหรือไม่
2.ขั้นตอนการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ในอดีตที่ผ่านมา ก็ดำเนินการตามกฎหมายลักษณะเช่นเดียวกันโดยไม่เคยมีปัญหา
3.หากคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินออกมาตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าว ทั้งกฎหมายและจารีตประเพณีที่ปฏิบัติต่อเนื่องกันมายาวนาน เพราะเหตุใดขั้นตอนต่างๆ จึงจะมามีปัญหาในวันนี้
จากนี้ไป ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาจะรอฟังคำแถลงอย่างเป็นทางการ และกำหนดทิศทางเคลื่อนไหวต่อไป
พระเมธีธรรมาจารย์ (เจ้าคุณประสาร จนฺทสาโร)
#เจ้าคุณประสาร
4 มีนาคม 2559
https://www.facebook.com/ck.prasarn/photos/a.614839195352069.1073741828.614507892051866/621816177987704/?type=3&theater
………………………………………………….
เอ้า….จะช่วยสงเคราะห์เฮียแก่หน่อยว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินเขามีอำนาจตรวจสอบไหม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน
พ.ศ. ๒๕๕๒
มาตรา ๑๓ ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนในกรณี
(ก) การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
(ข) การปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชนโดยไม่เป็นธรรม ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ก็ตาม
(ค) การตรวจสอบการละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาล
(ง) กรณีอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
(๒) ดำเนินการเกี่ยวกับจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
(๓) ติดตาม ประเมินผล และจัดทำข้อเสนอแนะในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ รวมตลอดถึงข้อพิจารณาเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าจำเป็น
(๔) รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่พร้อมข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาทุกปี ทั้งนี้ ให้ประกาศรายงานดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาและเปิดเผยต่อสาธารณะด้วย
การใช้อำนาจหน้าที่ตาม (๑) (ก) (ข) และ (ค) ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการเมื่อมีการร้องเรียน เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าการกระทำดังกล่าวมีผลกระทบต่อความเสียหายของประชาชนส่วนรวมหรือเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจพิจารณาและสอบสวนโดยไม่มีการร้องเรียนได้
………………………………………………..
เห็นพฤติกรรมของภิกษุผู้มักมากทะยานอยากจนเอ่อล้นออกมา เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจของพระธรรมวินัยและสังคมได้รับรู้เวลานี้ ยิ่งเห็นยิ่งเวทนานัก
มันจะอะไรกันนักหนาล่ะบรรดาอาเสี่ยอาเฮียทั้งหลาย
เมื่อผู้ตรวจการเขาตรวจสอบและบอกว่ามติที่ มส. ออกมามันผิดกฎหมาย
แล้วทำไมเฮียๆ จึงตะแบงอยากได้ตำแหน่งอะไรกันขนาดนั้น
ถามพวกเฮียจริงๆ เถิด บวชกันเข้ามาเพื่ออะไร
ยางอายน่ะมีไหม
ทำตัวอย่างกับพวกตายอดตายอยากมาจากขุมไหน
เหมือนกับว่าถ้าสมเด็จช่วงไม่ได้ตำแหน่งสังฆราช พระธรรมวินัยจะอยู่ไม่ได้
อ้อ… แต่ลืมไป เราประเมินพวกเฮียสูงไป
คนอย่างพวกเฮียไม่เคยเห็นพระธรรมวินัยอยู่ในสำนึกอยู่แล้ว
เพราะถ้ามีสำนึก คงไม่หน้าด้านพากันออกมาเรียกร้องขอตำแหน่งกันอยู่อย่างนี้หรอก
ยางอายน่ะเคยมีไหม
ผ้าเหลืองที่สวมใส่อยู่น่ะไม่ได้ช่วยให้ปลงอะไรๆ กันได้บ้างเลยหรืออย่างไร
และขอบอกให้พวกเฮียได้เข้าใจชัดๆ ว่า
ไอ้ที่เฮียแถมาว่า หากยึดกฎหมายมาตรา ๗ ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้วินิจฉัย
แล้วปี ๓๒ ทำไมมหาเถรถึงได้เสนอชื่อสมเด็จพระญาณสังวรให้แก่นายกรัฐมนตรีเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าขอพระราชทานโปรดเกล้าสถาปนาแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชได้
แล้วทำไมเดี๋ยวนี้มหาเถรจะเสนอชื่อเหมือนเดิมบ้างไม่ได้
เราไม่รู้ว่าเฮียปัญญาอ่อนหรือลืมกันแน่
เฮียเคยเปิดพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ฉบับ ๒๕๐๕ อ่านบ้างไหม
สมเด็จพระญาณสังวรทรงได้เป็นพระสังฆราชตามพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ฉบับปี ๒๕๐๕ ที่ยังไม่ได้แก้ไข
แต่ที่เฮียและพวกพยายามตะแบงและอ้างมาตรา ๗ มาใช้ มันเป็น พรบ.คณะสงฆ์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมปี ๒๕๓๕ นะเฮีย
สมเด็จพระญาณสังวรทรงเป็นพระสังฆราชในปี ๓๒ ตั้งแต่ยังไม่มีการแก้ไข พรบ.คณะสงฆ์
แต่สมเด็จช่วงของเฮียอยากเป็นพระสังฆราชโดยอาศัย พรบ.คณะสงฆ์ปี ๒๕๐๕ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมปี ๒๕๓๕ แล้วนะเฮีย
ซึ่งมาตรา ๗ ของฉบับนี้เขาก็เขียนเอาไว้ชัดว่า
มาตรา ๗ “พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง
ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนา เป็นสมเด็จพระสังฆราช
ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นผู้มีอาวุโสโดย สมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช”
แล้วทีนี้เฮียลองมาดู พรบ. สงฆ์ปี ๒๕๐๕ ที่ยังไม่แก้ไข มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
เฮียอ่านหนังสือกันออกหรือเปล่า มาตรา ๗ เขาเขียนเอาไว้ชัดว่า “พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช” ไม่ใช่ให้มหาเถรโดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรี
ฉะนั้นไอ้ที่พวกเฮียพยายามตะแบงอ้างมติอัปยศอยู่เนี่ย มันผิดกฎหมายนะเฮีย และหากเฮียคิดว่ามันไม่ผิด
เดี๋ยวพุทธะอิสระจะไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้เปิดประชุมลับอัปยศผิดกฎหมายดีไหมเฮีย
โถ… โถ… ช่างน่าสมเพชกับคนที่ไม่รู้จักพอพวกนี้จริงๆ
ออกมาเลยเฮีย หลังจากประเมินสถานการณ์แล้ว
เมื่อเห็นว่าสมเด็จช่วงไม่ได้เป็นสังฆราชแน่ๆ
เฮียก็ระดมพลพรรคคนรักธรรมกายและสมเด็จช่วงออกมากันให้เต็มพุทธมณฑลหรือสนามหลวงเลย
รัฐบาล คสช. เขาจะได้มีข้ออ้างเพื่อจะอยู่ยาวได้
โอ… ไหมเฮีย
ไหนๆ ก็เคยช่วยเรามาครั้งหนึ่งแล้ว
จะช่วยออกมาอีกซักครั้งคงไม่ลำบากหรอกกระมัง
นายทุนธรรมกายมีเงินเป็นเข่งๆ อยู่แล้วนี่ แค่นี้ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงหรอก
พุทธะอิสระ