เมื่อกล้าที่จะทำ ก็ต้องกล้าที่จะรับผิดชอบ

0
101

บทความ

เมื่อกล้าที่จะทำ ก็ต้องกล้าที่จะรับผิดชอบ

๔ มีนาคม ๒๕๕๙

 

040359 บทความ เมื่อกล้าที่จะทำ ก็ต้องกล้าที่จะรับผิดชอบ (2)

เรื่อง ขอร้องทุกข์กล่าวโทษ ให้ดำเนินการสืบสวน สอบสวน พระสุวิทย์ธีรธมฺโม หรือพุทธะอิสระ ในข้อหามีผู้โจทก์ด้วยอาบัติปาราชิก และละเมิดกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ เรื่องการชุมนุม

 

เรียน กรรมการมหาเถระสมาคม และผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

จากกรณีพระเมธีธรรมจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแผ่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย มหาโชว์ ทสฺสนีโย ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและบริการสังคม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และผู้ช่วยศาสตราจารย์เสถียร วิพรหมหา อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และพระโสภณพุทธิวิเทศจิตติก์ ญาณชโยหรือเจ้าคุณเบอร์ลิน เจ้าอาวาสวัดพุทธาราม นครเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน รวมทั้งนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. แกนนำคนเสื้อแดง

 

ได้กล่าวหา อาตมาด้วยอาบัติปาราชิก สิกขาบทที่ ๒ ข้อหาขู่กรรโชกทรัพย์โรงแรมเอสซีปาร์ค

 

และเป็นแกนนำในการชุมนุมปิดศูนย์ราชการ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของกฎมหาเถรสมาคม เรื่อง ห้ามพระสงฆ์เกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตราที่ ๑๘

 

เผยแพร่พระลิขิตปลอม

 

พยายามรื้อฟื้นอธิกรณ์ ในกรณีธมฺมชโยต้องอาบัติปาราชิกที่สงฆ์ทำเสร็จแล้วขึ้นมาใหม่

 

อวดอุตริมนุสธรรมในปาราชิกสิกขาบทที่ ๔

 

ทำลายการปกครองคณะสงฆ์ทำให้สงฆ์แตกกัน

 

ผู้กล่าวหาทั้งห้า ได้ทำการกล่าวหาอาตมา ทั้งในทางสื่อสารมวลชน ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ รวมทั้งในที่ชุมนุมและในที่สาธารณะทั่วไป

 

เพื่อให้พระธรรมวินัยนี้สะอาด บริสุทธิ์ บริบูรณ์ และดำรงรักษาศรัทธาของพุทธบริษัทให้ตั้งมั่น ให้สังฆมณฑลอยู่ร่วมกันได้ โดยมิต้องตั้งข้อรังเกียจ รวมทั้งเป็นความมั่นคงของพระพุทธศาสนา

 

อาตมาจึงขอร้องทุกข์กล่าวโทษตัวอาตมาเองและภิกษุผู้ต้องอธิกรณ์ที่มีผู้โจทก์ทั้งในที่ลับ และที่แจ้งทั้งหมด ที่ละเมิดพระธรรมวินัย ละเมิดพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ละเมิดกฎหมายเถระสมาคม รวมทั้งละเมิดกฎหมายบ้านเมือง

 

ขอให้สำนักพุทธดำเนินการ รวบรวมรายชื่อ ผู้ละเมิดทั้งหมดเสนอต่อกรรมการมหาเถรสมาคมเพื่อพิจารณา สั่งการให้เจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้นสอบสวนทำความจริงให้ปรากฏแก่สังคม และจัดการลงโทษแก่ผู้ทำผิดตามหลักพระธรรมวินัย กฎหมายคณะสงฆ์ กฎหมายบ้านเมือง

 

ประเด็นที่ ๒

 

คือการเสนอรายงาน ของสำนักพุทธโดยมิชอบ แก่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คือคุณสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

 

ในคำสั่งของท่านรัฐมนตรี ให้สำนักพุทธ ทำการรวบรวมข้อมูลให้รอบด้าน ทั้งจากฝ่ายที่สนับสนุนสมเด็จช่วง และฝ่ายที่คัดค้าน เพื่อนำเสนอต่อรัฐมนตรีพิจารณา

 

จากรายงานของสำนักพุทธที่ปรากฏทางสื่อสารมวลชน

 

ทำให้เห็นความไม่เป็นกลาง และลำเอียง เลือกข้าง ผิดจรรยาบรรณของข้าราชการที่ดี ทั้งที่ไม่เคยสอบถามข้อมูลจากฝ่ายตรงข้ามเลยแต่ก็มีการรายงานถึงฝ่ายที่คัดค้านแล้ว

 

มิหนำซ้ำข้อมูลที่รายงานของฝ่ายคัดค้าน ยังแฝงไปด้วยเจตนาอคติ ใส่ร้าย ให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงทำให้เกิดความเสียหายแก่ฝ่ายคัดค้าน

 

อีกทั้งในรายงานฉบับนี้ยังมีการให้ความสำคัญแก่สำนักวัดพระธรรมกาย ดุจดังแผ่นดินไทยมีพระและวัดอยู่วัดเดียวคือวัดพระธรรมกาย

 

ด้วยข้ออ้างที่ยกปริมาณและวัตถุที่ธรรมกายมีมากกว่าวัดอื่น ๆ โดยไม่ใส่ใจว่าพฤติกรรมของธรรมกายจะดีชั่ว ถูกผิด เป็นเช่นไร

 

ทำให้เกิดข้อกังขาของสังคมว่า ตกลงสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้กลายร่างเป็นสำนักงานธรรมกายแห่งชาติไปแล้วหรือนี่

 

เพื่อให้รัฐมนตรี รัฐบาล ได้รับรายงานที่มีแต่ความจริง ไม่ใช่ความเท็จ รัฐมนตรีและรัฐบาลจะได้มีข้อมูลที่ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริง นำไปพิจารณาแก้ปัญหา วิกฤติศรัทธาของพระพุทธศาสนาให้ถูกตรงต่อไป

 

วันนี้อาตมาจึงมาค้านรายงานที่สำนักพุทธ ทำส่งให้รัฐมนตรีว่าเป็นรายงานที่ไม่ชอบตามอำนาจหน้าที่ อันพึงมีของสำนักพุทธ และหากจะทำรายงานให้รอบด้าน ควรจักต้องเข้าไปถามข้อมูลทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าสำนักพุทธกลายเป็นพวกธรรมกายเสียแล้ว ย่อมแน่นอนว่า คงไม่อยากฟังความของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นแน่

 

พฤติกรรมเช่นนี้ ถือว่าไม่บังควรเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้เป็นข้าราชการ

 

ประเด็นที่ ๓

 

อาตมาขอโจทก์ธมฺมชโยต้องอาบัติปาราชิก ข้อหาอวดอุตริมนุสธรรม ต่อกรณีกล่าวอ้างว่าตนสามารถล่วงรู้ว่า สตีฟ จ๊อบ ก่อนตายคิดอะไร ตายแล้วไปเกิดที่ไหน หลังจากตายแล้วมีสถานะความเป็นอยู่อย่างไร

 

อีกทั้งยังแสดงการอวดอ้างคุณวิเศษอีกในหลายกรณี ซึ่งก็มีทั้งพยานและหลักฐานชัดเจน

 

อาตมาจึงขอกล่าวโทษโจทก์พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ธมฺมชโย) เป็นผู้ละเมิดอาบัติปาราชิก สิกขาบทที่ ๔ ภิกษุอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ต้องอาบัติปาราชิก

 

(หลักฐานและพยานจะนำมามอบให้ต่อเมื่อมีการสอบสวน)

 

พุทธะอิสระ