บทความ
ขออนุญาตแชร์นะจ๊ะ
พุทธะอิสระ
มฤตยูโล้นเหลืองทับดวงเมือง
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2559
นักการเมือง-กิน
สื่อ-โกง
สงฆ์-ทุศีล
แล้วแผ่นดินจะร่มเย็นได้อย่างไร?
ยิ่งผสมด้วย นักวิชาการคด ข้าราชการกบฏหน้าที่ อีกทั้งมีบางไทย-ใจทาส “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน”
ในสถานการณ์ท้ายยุค “โมหะนำไทย” เปลี่ยนผ่านสู่ยุค “ไทยคืนใจ” ขณะนี้ จึงบอกได้คำเดียวว่า
ไม่มีอะไรที่สามารถพูดได้ว่า “ไม่เป็นปัญหา”!
ฉะนั้น นับจากนี้ไป “อะไรเกิด” แม้กระทั่ง ภัยจากธรรมชาติ อยากทำความเข้าใจให้ตรงกันว่า…นั่นไม่ใช่ “เหตุบังเอิญ”
หากแต่ “มันเป็น”……….
เพราะมัน “ต้องเป็น” ใต้กรอบ-ใต้เงื่อนไข ที่หลีกไม่พ้น ไปสู่คำว่า
“วิบัติ เพื่อ อุบัติ”!
ก็จากเหตุปัจจัยที่เรา “คนไทย” ทุกคน มีส่วนร่วมทำ มากบ้าง-น้อยบ้าง ตั้งใจบ้าง-ไม่ได้ตั้งใจบ้างนั่นแหละ
สั่งสมกันมาในรอบ ๑๕-๑๘ ปี ที่ผ่าน!
ลองนักการเมืองก็ปาราชิก สื่อก็ปาราชิก พระก็ปาราชิก นักวิชาการ-ข้าราชการก็ปาราชิก แล้วบอก
“ที่ทำ-ไม่ปาราชิก”…….
พระวินัยตะหาก เรียกเองว่า “ปาราชิก”!?
แล้วแบบนั้น….ชาวบ้าน-ชาวเมืองจะไม่แตกเป็น ๒ ฝ่ายได้อย่างไร
ฝ่ายสัมมาทิฐิ โดยธรรมชาติบนความเป็น “มนุษย์” ต้องมีมากกว่า ก็ออกมาพิทักษ์ธรรม บอก…นั่นผิด
ส่วนฝ่ายมิจฉาทิฐิ โดยธรรมชาติเป็นปัจจัยแห่งการเปลี่ยน ก็ออกมาปกป้องอธรรม บอก…ไม่ผิด
ซึ่งมันเป็นไม่ผิดที่ “มืด-บอด” ขั้นวิปริตโดยแท้…….
วิปริตถึงขั้น กลุ่มอลัชชีระดมโล้นบ้าง-เดียรถีย์บ้าง ออกมาชุมนุม ประกอบพิธีเดรัจฉาน สาปแช่งคนที่ไม่ยอมเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
เอาเหลืองคลุมโจรเป็นพระ ขย่มรถ ข่มขู่รัฐ วิบัติศีล……..
ให้ตั้งมหาเถนผู้มัวหมองในศีลาจารวัตรฝ่ายตนเป็นสังฆราชา โดยประกาศหัวโล้นๆ หน้าด้านๆ ว่า ที่ทำอัปปิยะนี้….
เป็นการ “ปกป้องพระพุทธศาสนา”?
พระพุทธองค์ ทรงให้พระสงฆ์ยึดพระธรรม-วินัยเป็นศาสดา เป็นหลักชัย-หลักใจของพุทธ
แต่วันนี้ กลุ่มอลัชชี ภายใต้การทำไม่รู้-ไม่ชี้ของมหาเถรฯ-สำนักพุทธ เกรี้ยวกราด-ประกาศ บิดพระธรรม-วินัย
“ยึดสมณศักดิ์-ยึดตำแหน่ง” อันพระศาสดาเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ และไม่มีในพระพุทธศาสนา ให้เป็นแก่นธรรม
ดันก้นมหาเถนประเภท “ตาลยอดด้วน” ด้วยกัน ให้ขึ้นเป็นสังฆราชา แล้วทึกทัก
นี่คือ “ตัวศาสนา” ที่ต้องปกป้อง!?
เมื่อมาถึงขั้นนี้ คืออีกฝ่ายยึดธรรม แต่อีกฝ่ายยึดอธรรม ถึงฝ่ายยึดธรรมไม่รบ ในที่สุด…ฝ่ายยึดอธรรมก็ต้องรุก ด้วยลุแก่ ตัณหา-โมหะ
แต่นั่น เป็นการรุก สู่ “ธรรมาธรรมะสงคราม” ที่ฝ่ายตัวเองสร้างเงื่อนไข ที่เรียกว่า “ปัจจัยพินาศ”
ให้ตัวเอง และ หมู่คณะ โดยแท้!
ก็น่าอดสู น่าเวทนา “มายาหญิง-ตัณหาพระ” ที่จะยังความพินาศ-ล่มจมสู่ตัวเองสถานเดียว
หลวงพ่อ “พุทธทาสภิกขุ” ท่านใช้คำว่า “ตถตา” ซึ่งครอบคลุมลึกทั้งปรมัตถสัจจะและสมมติสัจจะ
ความหมายคือ “มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง”!
แล้วฝ่ายไหน-ใครล่ะที่ต้อง “เป็นของมันอย่างนั้นเอง”?
ตรงนี้ ถ้าไม่ตะแบง ตอบไม่ยาก เพราะมี “ธรรมเป็นโลกบาล” เป็นหลักยึดวินิจฉัยอยู่แล้ว
ดูง่ายๆ อย่างนี้………
ถ้าใคร-ฝ่ายไหนตามธรรม จะรุ่งเรือง
ถ้าใคร-ฝ่ายไหนฝืนธรรม จะรุ่งริ่ง!
ช่วงนี้ ผมเห็นโหราจารย์หลายท่านออกมาบอก อีก ๓-๔ วัน ดาวมฤตยูจะยกย้ายไปทับดวงเมือง ทับนานสนิทอยู่ถึง ๗ ปี
ก็มีการตีรหัสมฤตยูทับไปในทางเดียวกัน คือบ้านเมือง “ถึงจุดเปลี่ยน”
ใครไม่เปลี่ยน ก็จะถูกเปลี่ยน!
เปลี่ยนในที่นี้ ความหมายหลัก เปลี่ยนทั้งโครงสร้างสังคม-การเมือง-บ้านเมือง-อำนาจ-การศึกษา และคน
ฟังดูเหมือนร้าย!
แต่ในแนวผม “การเปลี่ยน” เป็นเรื่องดี เปลี่ยนหมายถึงยังไม่ตาย การเติบโตหมายถึงภาวะสมดุลทางชีวิต ส่วนจะโตแบบไหน อยู่ที่คนในชาติ
สิ่งเป็นจริงที่มักไม่ยอมรับกัน ทุกการเปลี่ยนแปลง ย่อมอยู่บนฐาน รื้อ-ล้าง-ทำลาย-ย้าย-ปรับ สิ่งเก่า
เพื่อให้ “สิ่งใหม่เกิด” แทนทั้งสิ้น!
ดังนั้น ที่โหรทำนาย ฟังได้ แต่ไม่ต้องเชื่อในด้านดี-ร้าย ว่าเพราะดาว
การเปลี่ยน จะเชื่อว่าเพราะดาวก็ได้ แต่จะเปลี่ยนดี-เปลี่ยนร้าย อยู่ที่คน ที่พูดเช่นนี้ เพราะผมมีประสบการณ์ด้วยตัวเองมา ชนิดเปียกๆ
คือถ้าว่ามฤตยูทับแล้วจะแย่ ก็ทับโดยผมไม่ร้องมาตั้ง ๗ ปีเต็มๆ ก่อนจะเขยื้อนไปทับดวงเมือง ผมไม่เห็นแย่ตรงไหน
ยัง “ยักแย่-ยักยัน” อยู่ได้ ไม่บุบสลาย มีแต่เจริญวัยขึ้นไปอีก ๗ ปี สู่ความโชคดีที่…จะได้ตายก่อน
ก็ยังนึกเสียดาย………
อยากบอกมฤตยูเหมือนกัน ว่าทับกันมาตั้งนาน จะทิ้งกันไปไม่อาลัย-อาวรณ์กับสิ่งที่ทับไว้บ้างหรือไร?
๗ ปี ที่ทับ ก็มีทั้งดี ทั้งร้าย ทั้งปางตาย ปางเกิด แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ “อยู่รอดปลอดภัย” มฤตยูกลายเป็นมหามิตร
นั่นเพราะ “ดี-ชั่ว” อยู่ที่ตัวเราทำ!
ดาวทำอะไรเราไม่ได้ แต่ยึดเป็นเพื่อนปลอบใจ ยามวิเวกวังเวงวิเหวโหวได้
คือ บางคราว…ไม่รู้จะอ้างอิงอะไร ก็เอาไหล่ซบดาว หัวเราะ-ร้องไห้ ดียกให้ตัวเรา ร้ายโทษตัวดาวส่งเดชไปเลย
เหตุนั้น ดาวมฤตยูทับดวงเมือง ที่ว่าร้าย อย่าไปเชื่อ!
จากสภาพทุกวันนี้ ถึงมฤตยูไม่ทับ โจรมันก็ทับอยู่แล้ว เมื่อถึงคราวต้องจบ ผู้ร้ายมันต้องตายตอนจบทั้งนั้น ไม่ใช่หลักหนังไทย แต่มันเป็นหลักกรรมจริงๆ
การเปลี่ยน จะยกให้เป็นอิทธิพลดาวก็ได้ แต่สิ่งที่จะทำให้ “สังคม-บ้านเมือง” เปลี่ยน
ต้องยกให้ “คนในชาติ”……….
คือเราๆ ท่านๆ มันๆ กูๆ ด้วยกันนี่แหละว่า ฝ่ายไหนแรงมากกว่า จะชักลากให้ขึ้นช้าง-ลงม้าไปได้ตามต้องการ
เห็นบางวัดวา “ขึ้นป้าย” สนับสนุนผู้มีศีลาจารวัตรมัวหมองขึ้นเป็นประมุข
คนทั่วไป ไม่รู้ “ไส้ใน” ว่าวัดนี้ “กิน-กาม-เกียรติ” อยู่กับสายไหน อาจนึกวิตก พระ “ชักธงรบ” แปลงวัดเป็นป้อมประตูคูค่ายละกระมัง?
ผมบอกท่านไม่เชื่อ ก็จงเชื่อเถอะ…..
ในยุคระบอบทักษิณครองเมือง มีการนิมนต์โล้นห่มเหลืองทีละหมื่นรูป แสนรูป มาสวดมนต์บ้าง นิมนต์ไปในกิจกรรมต่างๆ ทีละเป็นพันๆ รูปบ้าง
ไม่ใช่พระมาเจริญพระพุทธมนต์เป็นบุญ-เป็นทาน-เป็นบารมีให้บ้านเมือง ให้ประชาชน เป็นเมตตาจากพระอย่างที่เข้าใจ
แต่นั่น คือการ “จ้างสวด”
เสร็จแล้ววางบิลเรียกเก็บเงินตามหลัง ไม่ใช่ญาติโยมมีจิตศรัทธาก็จะถวายองค์ละ ๑๐ องค์ละ ๑๐๐
หากแต่ “ระบอบทักษิณ” กับ “โล้นห่มเหลือง” สมคบกัน แปลงศรัทธาเป็นทุนขุนมารให้ชอนไชบ้านเมือง โดยที่คนทั่วไปไม่รู้
แต่ “สำนักพุทธ” ต้องรู้!
อย่างน้อย หัวละ ๓,๐๐๐ ต้องจ่าย มีอยู่คราว สมัยทักษิณ พระมาสวดสนามหลวงเป็นพัน-เป็นหมื่น
รุ่งขึ้น “วางบิล” ๓๐ ล้าน!
เมื่อพระประพฤติอลัชชี เป็นปี่-เป็นขลุ่ยกับนักการเมือง “กินเมือง” จึงไม่ต้องสงสัยกันว่า แล้วเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร?
เมื่อพระคามวาสี ทิ้งสมถะ-วิปัสสนา ยึด รถเก่า ยึดเครื่องสำอาง ยึดเน็ต ยึดไลน์ ยึดเฟซ ยึดบิล เกตส์ เป็นศาสดา กระหายหื่นหาแต่ เมกะไบต์ กิกะไบต์
จากปัจจัย ๔ สรุปลงปัจจัยเดียวในยุคนี้ คือ “เงิน..เงิน..เงิน”
รถต้องซ่อม ตำแหน่งต้องซื้อ ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ หนังแผ่น ยาบำรุง ก็ต้องซื้อ ฉะนั้น นิมนต์ฟรี สวดฟรี ไม่มีชาร์จ ไม่มีแล้ว
ต้องซองต่ำสุดระดับพัน ขึ้นไปถึงระดับแสน ตามยศถาสมณศักดิ์ ในแต่ละครั้งนิมนต์
อลัชชีจึงอ้วนพี พวกต่างชาติ เช่น เขมร จึงเข้ามาปลอมเป็นพระหากินกันทั่วบ้าน-ทั่วเมือง โดยมหาเถรฯ-สำนักพุทธ ไม่เคยทุกข์ร้อน
หรือจะส่งเสริมเพื่อกิจกรรมเผาบ้าน-เผาเมือง เพื่อคลุมเหลืองขี่จานบินก็ไม่รู้ จึงเห็นพรึ่บมา…ทีละหมื่น-ทีละแสน แล้วก็พรึ่บไป..ทีละหมื่น-ทีละแสน ปั๊มพระออกมาผสมโจรกันได้ทันใจคล้ายไข่ยุง
แล้ววางบิลรัฐบาล!?
ก็เห็นประกาศ “ห้ามบ้านเมืองไปยุ่งกิจการสงฆ์” แล้วมาพล่านให้รัฐบาลรีบตั้งทำไม อยากเป็นก็ปิดโบสถ์สวดญัตติกันไปซี
ถ้าให้รัฐบาลทำตามครรลอง….
อะไรที่ยังแปดเปื้อนมลทิน ทั้งตามกฎหมายและตามธรรมเนียมบ้านเมือง
นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย “ไม่ได้” เด็ดขาด!
(ขอขอบคุณบทความจาก เปลว สีเงิน และ ไทยโพสต์)
https://www.thaipost.net/?q=%E0%B8%A1%E0%B8%A4%E0%B8%9