บทความ
มีข่าวดีมาบอก
๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ เวลา 08.41 น.
ปี ๔๒ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงโจทก์ภิกษุธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องอาบัติปาราชิก ข้อหาอวดอุตริมนุสธรรมและยักยอกทรัพย์
ด้วยทรงมีพระวินิจฉัยให้เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบกระทำ ๒ เรื่อง
เรื่องแรกให้คืนทรัพย์
เรื่องที่สองให้จับสึก
ต่อมานายอาคม เอ่งฉ้วน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่กำกับดูแลกรมการศาสนา ได้รับคำสั่งจากนายชวน หลีกภัย ให้เข้าไปสนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ด้วยการควบคุมเร่งรัดเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบให้ดำเนินการตามพระบัญชา สมเด็จพระสังฆราช
จนสามารถนำคดีขึ้นสู่ในชั้นอัยการ หลักฐานเพียงพอที่จะมีคำสั่งให้ฟ้องเอาผิดธัมมชโยได้
ส่วนในด้านมหาเถรสมาคมได้มีการตั้งศาลสงฆ์มารับเรื่องตามกฎนิคหกรรม แต่ก็รับเรื่องร้องเรียนเอาไว้อย่างเสียไม่ได้ นั่นก็คือรับแล้วเก็บใส่ลิ้นชักด้วยข้ออ้างที่ว่า เมื่อคดีอยู่ในขั้นการพิจารณาของอัยการ ควรจะต้องให้จบเรื่องทางคดีโลกเสียก่อน ศาลสงฆ์ถึงจะได้ลงมือพิจารณา
เวลาต่อมานายทักษิณ ชินวัตร ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว มีคำสั่งแต่งตั้งอัยการสูงสุด
ซึ่งผู้ที่ถูกแต่งตั้งก็คืออัยการผู้ลงความเห็นสั่งฟ้องธัมมชโยในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์
เมื่อได้รับตำแหน่งอัยการสูงสุด กลับลำสั่งไม่ฟ้องคดีของธัมมชโยเสียงั้น
มิใยที่สมเด็จพระสังฆราชและสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม จะพยายามบังคับใช้คำสั่งทางคณะสงฆ์เพื่อปกป้องพระธรรมวินัย
แต่ก็ถูกสมเด็จเกี่ยวแห่งวัดสระเกศและเจ้าคณะภาค ๑ แห่งวัดยานนาวา ขัดขวางการดำเนินคดีกับธัมมชโยอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู จนมีคำพูดหรูๆ ออกมาจากปากสมเด็จเกี่ยวว่า “แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน”
สมเด็จพระสังฆราช เมื่อมิอาจเอาผิดกับธัมมชโยได้ทั้งที่มีพยานหลักฐานชัดเจน คือหลักฐานการยักยอกเงินและทรัพย์สินของวัดมาเป็นชื่อของตน เป็นจำนวนเงินถึง ๙๐๐ กว่าล้าน
แม้คำสอนที่บิดเบือนต่อหลักธรรมวินัย จาบจ้วงพระไตรปิฎก เจ้าประคุณสมเด็จก็ทรงมีหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์
แต่ไม่สามารถเอาผิดกับธัมมชโยได้ จึงทรงปรารถให้ฉันได้รับรู้
ด้วยเพราะอำนาจเงิน บริวาร และบารมีทางการเมือง บารมีของมหาเถรสมาคมบางคนที่ค้ำชูคุ้มหัวธรรมกาย ธัมมชโย อยู่จวบจนถึงวันนี้เป็นเวลา ๑๗ ปีแล้ว ที่ไม่มีใครสามารถเอาผิดกับธัมมชโยได้
จนเป็นเหตุให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชทรงต้องอาบัติสังฆาทิเสสมาตั้งแต่ปี ๔๒ จนถึงปี ๕๘ สิ้นสมเด็จไป ๒ สมเด็จ สิ้นรัฐบาลไป ๕ รัฐบาล
มาถึงสมัยรัฐบาล คสช. วันพฤหัสบดีที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๘
ทนายอั๋นได้โทรมาบอกเจ้าเฟิร์สในขณะที่ฉันกำลังเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
หลังจากเจริญมนต์ จุดเทียนชัยถวายพระพรจบลง เจ้าเฟิร์สมาบอกว่าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอแจ้งมาว่า อธิบดีดีเอสไอ โดยคณะกรรมการคดีพิเศษได้พิจารณาพยานหลักฐานความผิดของธัมมชโยและพวกแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล จึงรับคดีเอาไว้เป็นคดีพิเศษ พร้อมส่งให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องสืบไป
ฉันได้ยินแล้วขนลุกชูชัน น้ำตาไม่รู้มันเอ่อมาจากไหน
ฝ่าพระบาท หม่อมฉันได้ทำสำเร็จแล้ว หม่อมฉันได้ช่วยเปลื้องมลทินในอาบัติสังฆาทิเสสที่พระองค์ทรงต้องมาเป็นเวลา ๑๗ ปีแล้ว
บัดนี้พระองค์ได้ทรงพ้นมลทินนี้แล้ว
เพราะตามพระวินัยกำหนดไว้ว่า หากมีบุคคลควรเชื่อได้มาชี้มูลว่าต้องอาบัติอะไร ก็ให้ปรับเธอด้วยอาบัตินั้น
วันนี้คณะกรรมการคดีพิเศษ อันมีอธิบดีดีเอสไอเป็นประธาน ได้ชี้ชัดว่าคดีธัมมชโยมีมูล สามารถส่งอัยการสั่งฟ้องดำเนินคดีได้ แม้คดียังไม่ถึงที่สุด อัยการยังมิได้สั่งฟ้องก็ตามที แต่คดีมีมูล เป็นไปตามข้อกำหนดของพระวินัย เป็นการหยุดอาบัติสมเด็จพระสังฆราชได้ชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ต่อไปเป็นหน้าที่ของหม่อมฉันจะไล่เช็ดถู กวาดล้างพวกอลัชชีสงฆ์กลุ่มนี้ให้พ้นจากสังฆมณฑลให้จงได้ตามที่เคยได้รับปากพระองค์ไว้ เพื่อล้างมลทินของสังฆมณฑลให้หมดสิ้น
หม่อมฉันมีความกล้าพร้อมที่จะเดินทางไปถวายบังคมพระศพของฝ่าพระบาท และร่วมเป็นเจ้าภาพสวดพระศพในวันที่ ๑๑ ธันวาคมที่จะถึงนี้
จึงขอเชิญชวนพี่น้องผู้มีจิตเลื่อมใสศรัทธาในพระจริยาวัตรของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช เดินทางไปร่วมกันเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมบำเพ็ญกุศลพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ในวันที่ ๑๑ ธ.ค.เวลาบ่าย ๒ โมงตรงที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหารกันทุกคนนะจ๊ะ
ขอเชิญทุกท่าน ทุกคนเลย ที่ร่วมต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ขอให้มาร่วมกันทุกท่าน
พุทธะอิสระ