ดูท่าเฮียจะถนัดวิธีพวกมากลากไปเสียจริงๆ

0
97

บทความ

ดูท่าเฮียจะถนัดวิธีพวกมากลากไปเสียจริงๆ

๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

250259  บทความ ดูท่าเฮียจะถนัดวิธีพวกมากลากไปเสียจริงๆ (1)

 

“เจ้าคุณประสาร” โวยเจอ 4 ข้อหา เหมือนถูกหักหลัง เผยได้ “หมายเรียก” เมื่อไหร่ เหลืองพรึ่บล้นโรงพักตามนัดแน่นอน
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/688038

พยายามท่องจำว่าไม่ได้ชุมนุม แต่ไปร่วมกันเจริญพระพุทธมนต์ด้วยสันติเท่านั้น

สังคมเขาสงสัยว่ามาเจริญพระพุทธมนต์แล้วมีการไฮปาร์ค ด่าว่าดูหมิ่นบุคคลอื่นด้วยหรือ

แถมยังมีการเผาหุ่น มีโลงศพติดรูป ติดชื่อ ดูถูกเหยียดหยาม ใส่ร้ายให้เกลียดชังแก่บุคคลที่ถูกนำไปทำหุ่นฟางดังในรูปอีกต่างหาก

อย่างนี้เขาเรียกว่าไปเจริญพระพุทธมนต์ด้วยสันติหรือเฮีย

แถมเฮียยังบอกว่า อาตมายืนยันว่าการมาของพระสงฆ์ทั่วประเทศเป็นการมาโดยชอบ

ถามเฮียว่า หากมาโดยชอบแล้วทำไมเฮียต้องไปให้ปากคำล่ะ

และที่เฮียบอกว่า เพราะพระสงฆ์ทั้งหลายทนไม่ได้ต่อกรณีที่รัฐบาลปล่อยให้กลุ่มบุคคลเพียงหยิบมือเดียวสร้างเรื่อง สร้างเหตุการณ์เพื่อขัดขวางการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช

สรุปแล้วเฮียสับสนอะไรหรือเปล่าเนี่ย

ไหนเฮียบอกว่าพระสงฆ์ได้มารวมตัวกันเพื่อเจริญพระพุทธมนต์โดยสันติยังไงล่ะ

แล้วทำไมกลับมาบอกว่าคณะสงฆ์เขาทนไม่ได้จึงออกมาเรียกร้องยื่นข้อเสนอ

ขอบอกเฮียว่า ๕ ข้อเรียกร้องของเฮีย สรุปแล้วมีอยู่ ๒ เรื่องเท่านั้น

คือหยุดบังคับใช้กฎหมายกับคณะสงฆ์

ต้องนำเสนอชื่อสมเด็จช่วงขึ้นทูลเกล้าเพื่อเป็นพระสังฆราช

รวมความแล้วเฮียคิดว่าพระธรรมวินัยและกฎหมาย ไม่ต้องมาบังคับใช้กับพวกเฮียใช่ไหม

แล้วที่เฮียอยากให้สมเด็จช่วงเป็นสังฆราช ทำไมเฮียถึงได้อ้างกฎหมายและธรรมเนียมโบราณล่ะ

 

ขอถามหน่อยว่า แบบธรรมเนียมในการอยู่ร่วมกันโดยมิมีผู้ใดเพ่งโทษ ตั้งข้อรังเกียจของสังฆมณฑลนี้ พระพุทธเจ้าทรงวางหลักการไว้ใน ปาริสุทธิศีล คือความหมดจดในศีล มี ๔ อย่างคือ
๑. ปาฏิโมกขสังวรศีล คือ การสำรวมในพระปาฏิโมกข์ สำรวมในวินัย
๒. อินทรียสังวรศีล คือ สังวรระวัง ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส
๓. อาชีวปาริสุทธิศีล คือ การเลี้ยงชีพโดยทางที่ชอบธรรม
๔. ปัจจัยสันนิสิตศีล พิจารณาก่อนบริโภคปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และยารักษาโรค

 

เหล่านี้คือธรรมเนียมโบราณที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้ภิกษุปฏิบัติมา ๒ พันกว่าปีแล้ว

พวกเฮียๆ ทั้งหลายทำไมไม่ยกขึ้นมาอ้างกันบ้างล่ะ

ส่วนเรื่องกฎหมาย ขอบอกพวกเฮียว่า รถหรูที่สมเด็จช่วงของเฮียสะสมเอาไว้มันผิดกฎหมาย ผิดทั้งหลักธรรมวินัย แล้วเฮียจะว่าอย่างไร

เงินประจำตำแหน่งของสมเด็จพระสังฆราช ที่สมเด็จช่วงของเฮียเอามาใช้ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นสังฆราช เฮียว่าผิดกฎหมายไหม

 

มหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรปกครองคณะสงฆ์สูงสุด มีอำนาจหน้าที่ตาม พรบ.คณะสงฆ์ คือ
(๑) ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม
(๒) ปกครองและกำหนดการบรรพชาสามเณร
(๓) ควบคุมและส่งเสริมการศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ ของคณะสงฆ์
(๔) รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา
(๕) ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่น

แต่ปล่อยให้อลัชชีสงฆ์ลอยนวล หลอกลวงชาวบ้าน ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและธรรมเนียมปฏิบัติทางพระธรรมวินัย พวกเฮียจะว่าอย่างไร สมควรโดนมาตรา ๑๕๗ ไหมเฮีย

ไอ้ที่พวกเฮียออกมาเรียกร้องปกป้องสมเด็จช่วง มหาเถรสมาคม และคณะสงฆ์

ขอถามว่า แล้วพระธรรมวินัยนี้ล่ะ พวกเฮียไม่คิดจะปกป้องกันบ้างหรือ

พวกเฮียไม่รู้เลยหรือว่าธัมมชโยมันย่ำยีพระธรรมวินัย ทำลายหลักการของพระพุทธศาสนา ทั้งยังมีพวกอลัชชีเข้ามาอาศัยเกาะพระธรรมวินัยหากิน

แล้วพวกเฮียไม่คิดจะออกมาปกป้องพระธรรมวินัยกันบ้างหรือ

ข้อเรียกร้องทั้ง ๕ ข้อของพวกเฮีย ไม่มีข้อไหนเลยที่ทำให้พระธรรมวินัยแข็งแรงยั่งยืน

ส่วนที่เฮียพยายามบอกสังคมว่า วันที่ไปให้ปากคำที่โรงพักพุทธมณฑล จะมีหมู่ภิกษุมากันเต็มโรงพักเพื่อให้ตำรวจจับเข้าคุก

ภาษานี้สังคมเขาพอจะเข้าใจได้ว่า

เฮียกำลังใช้พวกมากลากไป เอากฎหมู่มาอยู่เหนือกฎหมาย เหมือนกับพวกใครเอ่ย?

เฮียต้องไม่ลืมว่า พระธรรมวินัยพระพุทธศาสนานี้ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของพวกเฮียนะ และยังมีประชาชนอีก ๕๐ กว่าล้านคนในแผ่นดินที่เขาร่วมกันศรัทธาดูแล

ฉะนั้นอย่ามาเหมาว่าภิกษุข้างพวกเฮียมาก ก็สามารถยึดครองพระธรรมวินัยนี้ได้

หากเฮียคิดว่าจะเอาพวกมากมาข่มขู่คุกคาม กดดันเจ้าหน้าที่อย่างที่พวกเฮียถนัด

เช่นนี้ เฮียก็สมควรโดนแล้วล่ะ

เฮียคงจะไม่เคยศึกษาเรื่องทุติยสังคายนา ที่พระยสกากัณฑกบุตร ผู้รักษาหลักการของพระธรรมวินัยที่อยู่ท่ามกลางอลัชชีภิกษุวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี ซึ่งมีอยู่จำนวนมากเหมือนกับพวกเฮียในเวลานี้แหละ เป็นผู้ละเมิดละเลยต่อพระธรรมวินัย

เรื่องนี้เกิดขึ้นในเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงนิพพานไปแล้ว ๑๐๐ ปี

สัตตสติกขันธกะ ประวัติการทำสังคายนาครั้งที่ ๒
หมวดว่าด้วยพระอรหันต์ ๗๐๐ รูป ในการสังคายนาครั้งที่ ๒

วัตถุ ๑๐ ประการ
เมื่อพุทธปรินิพพานล่วงแล้ว ๑๐๐ ปี ภิกษุพวกวัชชีบุตร ชาวเมืองเวสาลี แสดงวัตถุ ๑๐ ประการว่า เป็นของที่ควรหรือถูกต้องตามธรรมวินัย คือ
๑. เก็บเกลือไว้ในเขาสัตว์เอาไว้ฉันกับอาหารได้
๒. เงาแห่งตะวันฉายเลยเที่ยงไปแล้ว ๒ นิ้ว ฉันอาหารได้
๓. ภิกษุฉันอาหารในที่นิมนต์จนบอกพอ ไม่รับอาหารที่เขาถวายเพิ่มเติม ด้วยคิดว่าจะเข้าบ้าน ฉันอาหารที่ไม่เป็นเดนได้
๔. ภิกษุอยู่ในสีมาเดียวกัน ทำอุโบสถแยกกันได้
๕. สงฆ์ยังมาประชุมไม่พร้อมกัน แต่ครบจำนวนพอจะทำกรรมได้ ให้ทำไปก่อนได้ แล้วขออนุมัติจากภิกษุที่มาทีหลัง
๖. ประพฤติตามที่อุปัชฌาย์ อาจารย์เคยประพฤติมาแล้วได้
๗. นมสดที่แปรแล้วแต่ยังไม่เป็นนมส้มภิกษุฉันในที่นิมนต์ จนบอกไม่รับอาหารที่เขาถวายเพิ่มให้แล้ว คงดื่มนมได้
๘. น้ำเมาอย่างอ่อนที่มีรสเจือปนอยู่น้อย ไม่ถึงกับทำให้เมา ควรดื่มได้
๙. ผ้าปูที่นั่งไม่มีชายได้
๑๐. เงิน ทอง รับได้

พระยสะกากัณฏกบุตรคัดค้านภิกษุพวกวัชชีบุตรเอาถาดใส่น้ำ เที่ยวเรี่ยไรเงินอุบาสกที่มาในวันอุโบสถ เพื่อเป็นค่าบริขารของพระสงฆ์ พระยสะกากัณฏกบุตร กล่าวห้ามอุบาสกเหล่านั้นว่า ไม่ควรให้แต่เพราะไม่รู้วินัยเขาจึงให้ตามที่เคยให้มา ตกกลางคืนภิกษุ เหล่านั้นแบ่งเงินกันแล้วเฉลี่ยมาให้พระยสะกากัณฏกบุตร ท่านปฏิเสธก็โกรธเคือง หาว่าท่านด่าอุบาสกเหล่านั้น จึงประชุมกันลงปฏิสารณียกรรมพระยสะกากัณฏกบุตร จึงอ้างวินัยว่าจะต้องมีพระเป็นทูตไปด้วย ๑ รูป เมื่อภิกษุวัชชีบุตรสวดประกาศแต่งตั้ง ภิกษุรูปหนึ่งมอบให้ไปด้วยแล้ว พระยสะก็เข้าไปหาอุบาสกเหล่านั้น ชี้แจงข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้หลายแห่ง ห้ามรับเงินทอง

เล่าว่าสมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวัน ทรงรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า สิ่งมัวหมองที่เป็นเหตุให้ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มัวหมอง ๔ อย่าง คือ ๑. เมฆ ๒. หมอก ๓. ควันและฝุ่นละออง ๔. ราหูผู้เป็นจอมอสูร ทรงเปรียบกับอุปกิเลสเป็นเหตุให้สมณพราหมณ์มัวหมอง ๔ อย่าง คือ

๑. ดื่มสุราและเมรัย ไม่เว้นขาดจากการดื่มสุราและเมรัย
๒. เสพเมถุนธรรม ไม่เว้นขาดจากการเสพเมถุนธรรม
๓. ยินดีทองและเงิน ไม่เว้นขาจากการยินดีทองและเงิน
๔. ดำเนินชีวิตด้วยมิจฉาชีพ ไม่เว้นขาดจากมิจฉาชีพ

อุบาสกเหล่านั้นได้ทราบข้อวินิจฉัยก็เลื่อมในพระยสะ และกล่าวประณามภิกษุวัชชีบุตร เมื่อกลับจากที่นั้น ภิกษุที่เป็นทูตร่วมไปด้วยก็แจ้งให้ภิกษุวัชชีบุตรทราบ ต่างพากันโกรธเคืองพระยสะ อ้างว่า การที่พระยสะไปพูดกับคนเหล่านั้นเป็นการไปแจ้งความแก่คฤหัสถ์โดยมิได้รับแต่งตั้งจากสงฆ์ จึงลงอุกเขปนียกรรม

 

การสังคายนาครั้งที่ ๒
พระยสกากัณฏกบุตรจึงหนีจากการคุกคามของพวกอลัชชีจำนวนมาก ไปชวนพระเถระที่เห็นแก่พระธรรมวินัยหลายรูป ซึ่งเป็นประมุขสงฆ์อยู่ในที่ต่าง ๆ เช่น พระสัพพกามี, พระสาฬหะ, พระอุชชโสภิตะ, พระวาสภะคากะ ๔ รูปนี้ เป็นผู้แทนคณะสงฆ์ฝ่ายตะวันออก พระเรวตะ, พระสัมภูตะ, สาณวาสี, พระยสะกากัณฏกบุตร พระสุมน ๔ รูปนี้เป็นผู้แทนคณะสงฆ์ฝ่ายตะวันตก รวมทั้งพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นอันมากถึง ๗๐๐ รูปประชุมกัน ณ วาลิการาม(เวสาลี แคว้นวัชชี) มีพระอชิตะผู้มีพรรษา ๑๐ เป็นผู้ปูอาสนะ วินิจฉัยวัตถุ ๑๐ ประการแสดงที่มาที่ทรงห้ามไว้ ปรับอาบัติไว้อย่างชัดเจนขี้ขาดด้วยมติสงฆ์ให้วัตถุ ๑๐ นั้นผิดธรรมวินัยมิใช่คำสอนขอพระพุทธเจ้า
…………………………………

ยกเอาทุติยสังคายนามาให้พวกเฮียทบทวน เผื่อเฮียๆ ทั้งหลายจะคิดได้ว่า ที่พวกเฮียทำอยู่เนี่ย มันสมควรจะทำสังคายนาได้แล้วหรือยัง

พุทธะอิสระ