สังฆราชของกู กูต้องได้ ใครก็อย่าขวาง

0
87

บทความ

สังฆราชของกู กูต้องได้ ใครก็อย่าขวาง

๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

160259 บทความ สังฆราชของกู กูต้องได้ ใครก็อย่าขวาง (1)

ขอวิจารณ์ข้อเรียกร้องของบรรดา อาเฮีย อาเสี่ยทั้งหลายหน่อยนะจ๊ะ

 

เฮียเมธีได้ยื่นหนังสือให้แก่รัฐบาลโดยมีคุณประวิตร วงศ์สุวรรณมารับ โดยประกอบด้วย ๕ ข้อเรียกร้อง

 

๑. ห้ามหน่วยงานภาครัฐ เข้ามาก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์ ขอให้ทำหน้าที่อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา ตามแบบอย่างบรรพบุรุษไทย

 

ตอบข้อ ๑

สงสัยว่าบรรดาอาเฮียอาเสี่ยทั้งหลายจะเกรงกลัวเจ้าหน้าที่รัฐจะเข้ามาสืบสวนสอบสวนและเจอความเน่าในของคณะสงฆ์

 

ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้สืบสวนสอบสวนเรื่องคดีรถหรู แล้วไปเจอแจ๊คพอตว่า สมเด็จช่วงและภิกษุบางรูปเข้ามามีส่วนพัวพันในคดีนี้ด้วย

 

หรือไม่ก็กลัวว่าพวกสมาคมปาราชิกจะถูกเปิดโปงจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ

 

๒. ขอให้รัฐบาลยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติอันดีงาม ที่กระทำสืบกันมา คือการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์ ทางรัฐบาลจะต้องปรึกษาและได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม (มส.) ก่อน

 

ตอบข้อ ๒

ตอบเฮียว่า ธรรมเนียมปฏิบัติอันดีงามที่ยึดถือกันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล คือการยอมรับกันโดยคุณธรรมและอายุพรรษา

 

ธรรมเนียมปฏิบัติอันดีงามตามหลักธรรมวินัยคือ ภิกษุผู้มีสังวาสอันเสมอกันได้ด้วยเพราะมีศีลบริสุทธิ์เสมอกัน จะได้ไม่ตั้งข้อรังเกียจกันและกัน จึงจะมีสังวาสสังคมอันอยู่ร่วมกันได้ มีทิฏฐิความเห็นอันเสมอเหมือนกัน คือเห็นว่าสรรพสัตว์ล้วนตกอยู่ในอำนาจกฎของกรรม เห็นตามหลักอริยสัจ ๔ และเห็นในหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือนกัน

 

อีกทั้งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือกันมา ๒,๕๐๐ กว่าปี ว่าภิกษุในธรรมวินัยนี้ต้องปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ซื่อตรง เทิดทูนบูชาดุจดังองค์พระบรมศาสดา

 

เหล่านี้คือธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาช้านาน ๒,๕๕๙ ปี

 

๓. ขอให้นายกฯ ยึดถือดำเนินการตามมติ มส. ที่มีการเสนอสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เป็นสมเด็จพระสังฆราช

 

ตอบข้อที่ ๓

แล้วพระวินิจฉัยของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ผู้ปกครองสงฆ์ทั้งคามวาสีและอรัญวาสี ไม่ต้องยึดถือดำเนินการหรืออย่างไร

 

รวมความว่า ที่ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางกันครั้งนี้ก็เพื่อสนองตัณหาของพวกตนเท่านั้นใช่ไหม?

 

โดยไม่สนใจว่าพระธรรมวินัยบัญญัติเอาไว้อย่างไร

 

๔. ขอให้ทางรัฐบาลสั่งเป็นนโยบายให้หน่วยราชการปฏิบัติต่อคณะสงฆ์ด้วยความเคารพ เอื้อเฟื้อ ไม่ข่มขู่คุกคามคณะสงฆ์ด้วยการใช้กฎหมาย

 

ตอบข้อที่ ๔

หากภิกษุสงฆ์เป็นผู้ทรงศีลสิกขา สมาธิสิกขา ปัญญาสิกขา ถูกตรงต่อสมณสารูป เจ้าหน้าที่ที่ไหนเขาจะไม่เคารพ

 

การที่เจ้าหน้าที่ทำตามหน้าที่ ตามกฎหมาย เรียกว่าเป็นการข่มขู่คุกคามอย่างนั้นหรือเฮีย

 

ก็เพราะพวกเฮียชอบใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายกันจนเป็นสันดานนี่แหละ จึงสมควรถูกดัดสันดานเสียบ้าง จะได้หลาบจำ

 

๕. ขอให้บรรจุพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ

 

ตอบข้อที่ ๕

ภาพที่นักบวชห่มเหลืองรุมล้อมทหาร ล็อคคอทหาร แย่งชิงรถทหาร กระโดดขึ้นไปขับรถทหาร ซึ่งเป็นทรัพย์สินของทางราชการ เป็นพฤติกรรมใช้กำลังข่มขู่คุกคามประทุษร้าย เป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายข่มขู่คุกคาม ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘

 

“ผู้ใดต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

ถ้าการต่อสู้หรือขัดขวางนั้น ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

 

เช่นนี้คือเหตุผลของการบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติกระนั้นหรือ

 

นี่ถ้าหากในเวลานั้นเจ้าหน้าที่เขาออกมาปฏิเสธข้อเรียกร้อง พวกเฮียไม่ฆ่าหรือทำร้ายเขาปางตายหรอกหรือ

 

สรุปรวมความว่า ไอ้ที่เรียกร้องมา ๕ ข้อ ไม่เห็นมีข้อไหนจะทำให้พระธรรมวินัยแข็งแรงเลย

 

มีแต่พวกเฮีย และญาติของเฮีย แข็งแรงขึ้นเท่านั้น

 

ถามจริงเถิด พวกเฮียบวชเข้ามาเพื่อ ยศ อำนาจ ทรัพย์ ลาภ กระนั้นหรือ

 

พวกเฮียทั้งหลายอาจลืมไปว่า พระเจ้าอยู่หัวยังทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปกครองประเทศเลยนะเฮีย

 

แล้วพวกเฮียมาจากไหนถึงได้ยิ่งใหญ่ขนาดประกาศเรียกร้องไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐมาใช้กฎหมายกับพวกเฮีย

 

ย้ายไปอยู่ เขมร หรือ ลาว พม่า หรือ สหรัฐฯ ดีกว่าไหมเฮีย

 

พุทธะอิสระ