บทความ
พุทธบริษัทไทยคงจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่มันปกป้องอลัชชีอยู่ ตอนที่ ๔
๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
ตอนที่แล้วได้ตอบรองผอ.สำนักพุทธไปแล้ว
วันนี้ลองมาตอบนายพิศาฬเมธ อดีตผอ.ส่วนงานมหาเถรสมาคม ปัจจุบันคือผอ.สำนักพุทธจังหวัดอ่างทอง
ช่วงหนึ่งของการให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว นายพิศาฬเมธ แช่มโสภา กล่าวว่า
“พระลิขิตของพระสังฆราชคือข้อเขียนตามพระประสงค์ ซึ่งจักเป็นคำสอนไม่ใช่คำสั่ง จึงไม่เป็นกฎหมาย ไม่มีผลต่อการปฏิบัติ เช่นพระวรธรรม คติ พระโอวาทเป็นต้น
แต่ปัจจุบันมีการกล่าวอ้างว่ามส.ขัดพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชจึงไม่เป็นความจริง เพราะพระลิขิตที่นำมากล่าวอ้างนั้นขัดกับกฎมส.เพราะกฎมส.ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๒๑ ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ซึ่งเกี่ยวกับระบบศาลของคณะสงฆ์ไทยและประกาศใช้เพื่อพิจารณาคดีที่เป็นอาบัติ โดยเฉพาะได้แบ่งเป็น ๓ ศาลเหมือนทางโลก คือ ชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ และชั้นฎีกา
โดยระบุว่าการพิจารณาวินิจฉัยลงนิคหกรรมชั้นฎีกาให้เป็นอำนาจของมส. ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานกรรมการมส.โดยตำแหน่ง พระองค์จึงเปรียบเหมือนประธานศาลฎีกา ดังนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ที่ประธานศาลฎีกาจะมีคำตัดสินว่านาย ก หรือ นาย ข ทำถูกหรือผิด ในขณะที่ศาลชั้นต้นยังไม่พิจารณา”
ตอบนายพิศาฬเมธ ผอ.สำนักพุทธจังหวัดอ่างทอง
ฉันไม่รู้ว่าคุณมาเป็นผอ.สำนักพุทธของจังหวัดอ่างทองได้อย่างไร
แต่ภูมิความรู้ที่คุณพยายามงัดออกมาแสดง
มันยิ่งทำให้สังคมเคลือบแคลงต่อพฤติกรรมของสำนักพุทธว่า ตกลงพวกคุณมีหน้าที่ปกป้องพระพุทธศาสนา พระธรรมวินัย หรือปกป้องธัมมชโย ธรรมกาย
รวมความว่า เงินภาษีประชาชนที่เขาจ่ายให้พวกคุณ เพื่อเข้ามาปกป้องใช่ไหม
คุณลองไปดูกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๒๑/๒๕๓๘ ข้อ ๓ ข้อ ๔ โดยเฉพาะข้อ ๔ วรรคสุดท้าย และข้อ ๕ อ่านหลายๆ รอบนะคุณ จะได้ซึมเข้าสมอง ไม่เผลอพูดผิดมาอีก
คุณพูดออกมาได้อย่างไรว่าพระลิขิตของพระสังฆราชเป็นคำสอน
หรือคุณกำลังบอกให้สังคมรู้ว่าเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชกำลังจะทรงสอนว่าธัมมชโยยักยอกทรัพย์ อวดอุตริมนุสธรรม ย่ำยีพระธรรมวินัย เป็นอนันตริยกรรม ต้องอาบัติปาราชิก
และถ้าหากพระลิขิตของพระสังฆราชเป็นแค่คำสอน
แล้วในปี ๔๒ มหาเถรสมาคมทำไมจึงมีมติสนองงานตามพระลิขิต
หากพระลิขิตเป็นแค่คำสอน ทำไมมหาเถรถึงได้ทำคดีตามกฎนิคหกรรม แต่ไม่ยอมทำให้ครบหรือทำไม่เสร็จ
หากพระลิขิตเป็นแค่คำสอน แล้วทำไมช่วงแรกธัมมชโยจึงถูกดำเนินคดีถึงกับต้องคืนทรัพย์
และหากพระลิขิตเป็นคำสอน ทำไมพวกคุณและธรรมกายถึงได้กระวนกระวายเดือดร้อนกันถึงขนาดนี้
ถ้าลิขิตเป็นแค่คำสอนจริง องค์กรอิสระอย่างผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา และดีเอสไอ ซึ่งเป็นหน่วยงานทำคดีพิเศษด้านความมั่นคงของรัฐ ถึงได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าคำวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราช มีกฎหมายรองรับ
และที่คุณให้สัมภาษณ์ว่าพระลิขิตที่นำมากล่าวอ้างนั้นขัดกับกฎหมาย
ฉันอยากเตือนคุณว่า ระวังปากหน่อย! อย่าหาคุกใส่ปาก เดี๋ยวลูกเมียจะเดือดร้อน
ไม่เข้าใจต่อพฤติกรรมของพวกคุณจริงๆ คนที่พระสังฆราชทรงโจทก์ว่าเป็นปาราชิก พวกคุณกลับไม่ทำอะไร
ทั้งที่พวกคุณมีหน้าที่สนองงานตามพระบัญชา นอกจากจะไม่ทำตามพระบัญชาแล้วยังไม่ตรวจสอบดำเนินการให้ความจริงปรากฏ
แถมยังพยายามพากันออกมาบิดเบือน ปกป้องอลัชชีชั่วกันอย่างหัวทิ่มหัวตำ
ทำประหนึ่งว่าผู้ที่โจทก์ธัมมชโยเป็นคนผิดและพระสังฆราชทรงเป็นผู้ผิด
แต่ธรรมกายอลัชชีชั่วดูเลอเลิศประเสริฐศรี
ยิ่งตอนนี้ยิ่งมีความพยายามเอาคำว่าคนละนิกาย นานาสังวาสมากล่าวอ้างเพื่อความอยู่รอด
พวกคุณลืมไปแล้วหรือว่าประเทศไทยมีสังฆราชเพียงองค์เดียว
พระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาแล้วถวายอำนาจให้ปกครองหมู่สงฆ์ทั้งคามวาสีและอรัญวาสี
หรือพวกคุณจะบังอาจปฏิเสธพระราชอำนาจ
พูดผิด พูดใหม่ หากให้ฉันได้ยินอีกว่าพระลิขิตพระสังฆราชผิดกฎหมาย คงได้เจอกันในศาลแน่
พุทธะอิสระ