บทความ
ความจริงคือสิ่งไม่ตาย คนที่ควรตายคือพวกไม่ยอมรับความจริง ตอนที่ ๓
๓๑ มกราคม ๒๕๕๙
บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า คนดีแท้ๆ ไม่กลัวการพิสูจน์ทราบ เรามาตามดูกันว่า คนอย่างอลัชชีธมฺมชโย ได้เคยพิสูจน์ตัวเองบ้างไหม
ต่อจากตอนที่แล้ว
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๘ ได้บัญญัติว่า “สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปรินายกทรงบัญชาการคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัยและกฎหมาเถรสมาคม” เมื่อพระองค์ได้ทรงมีพระวินิจฉัยในกรณีของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ธัมมชโย) แล้ว มหาเถรสมาคมย่อมต้องสนองพระลิขิตที่สมเด็จพระสังฆราชประทานมาทั้งหมด ตามที่มหาเถรสมาคมได้มีมติที่ ๑๙๓/๒๕๔๒ ให้สนองพระดำริโดยตลอดให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคม
แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการติดตามผลการดำเนินการเพียงเรื่องเดียว คือ ติดตามรับมอบและคืนที่ดินอันเป็นของวัดพระธรรมกายเท่านั้น
ในส่วนประเด็นพระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชว่าพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ธัมมชโย) ต้องอาบัติปาราชิกนั้น ยังมิได้มีการดำเนินการแต่อย่างใด
ประกอบกับมาตรา ๑๕ ตรี กำหนดให้มหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม
(๔)รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา
และมาตรา ๑๓ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง และให้สำนักงานพระพุทธศาสนา ทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม
ประกอบกับกฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๒ ได้บัญญัติให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งขาติ มีภารกิจเกี่ยวกับการดำเนินงานคณะสงฆ์และรัฐ… โดยให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๒) รับสนองงานประสานงานและถวายการสนับสนุนกิจการและบริหารปกครองคณะสงฆ์
โดยเฉพาะสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม มีอำนาจหน้าที่ตามข้อ ๔(๖)
(ก) รับสนองงานตามบัญชาและพระกรณียกิจของสมเด็จพระสังฆราช
(ง) ดำเนินการและประสานงานกับคณะสงฆ์ในการลงนิคหกรรมและตรวจตราถวายคำแนะนำแก่พระภิกษุ สามเณร ที่มีอาจารมาสมควรแก่สมณวิสัย
อีกทั้งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๒๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๔
ข้อ ๒ ได้บัญญัติให้คณะสงฆ์อยู่ในปกครองบังคับบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช
ข้อ ๓ ให้กรมการศาสนารับสนองงานของคณะสงฆ์ที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระสังฆราชและทางราชการ
อีกทั้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้เคยมีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่นร ๐๒๐๕/ว (ล)๖๐๒๑ ลงวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๒ และหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๒๐๕/๗๒๐๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๒ เรื่องการดำเนินการกรณีวัดพระธรรมกาย แจ้งให้กระทรวงศึกษาธิการ (กรมการศาสนาในขณะนั้น) ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อสนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชและรับสนองงานตามมติมหาเถรสมาคม
จากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ประชุมมหาเถรสมาคม ยังไม่ได้มีมติตัดสินหรือรับรองว่าพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) หรือพระธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) หรือสุทธิผล เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ตามเหตุการณ์ที่เกิดขั้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่อย่างใด
ที่ประชุมมหาเถรสมาคมเพียงแต่มีมติรับทราบ ตามที่นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เลขาธิการมหาเถรสมาคม นำเสนอต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคมเพื่อรับทราบผลการดำเนินงานในการพิจารณาในการดำเนินการของเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) กับคณะผู้พิจารณาชั้นต้น (ในขณะนั้น) และการดำเนินการของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพียงแต่เฉพาะการดำเนินการตามคำฟ้องของ นายมาณพฯ และนายสมพรฯ เท่านั้น
แต่ยังไม่ได้มีการพิจารณาในการลงนิคหกรรมพระธัมมชโยให้ต้องอาบัติปาราชิก ตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่มีมติของมหาเถรสมคมรับรองให้ถือเป็นคำสั่งที่ชอบ และจะต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน (การประชุมมหาเถรสมคมครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ มติมหาเถรสมาคมที่ ๑๒๑/๒๕๕๘) ทั้งๆ ที่ผลการดำเนินคดีทางโลกได้เสร็จสิ้นแล้ว พนักงานอัยการได้ถอนฟ้องตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ คดีเสร็จเด็ดขาดไปเป็นเวลานานแล้ว
จะเห็นได้ว่าจากพยานหลักฐานทั้งในชั้นของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการต่างมีพยานระบุยืนยัน (เจตนา) การกระทำความผิดของพระธัมมชโย อย่างชัดเจน
จึงชี้ชัดได้ว่าพระธัมมชโยได้กระทำความผิดโดยเจตนาแล้ว
แต่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งต้องทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคมได้เพียงแต่รายงานผลการดำเนินงานในเรื่องอื่นๆ (เช่น การมอบคืนทรัพย์ให้กับทางวัดรวมไปถึงการออกคำสั่งทางปกครองให้ทางวัดพระธรรมกายปฏิบัติการ ตามกฎระเบียบและให้เคร่งครัดในพระวินัย เป็นต้น)
แต่ยังไม่ได้สนองงานตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชให้ครบถ้วนในทุกประเด็น โดยเฉพาะการดำเนินการในเรื่องการลงนิคหกรรมแก่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายที่ต้องอาบัติปาราชิกตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช (ซึ่งเป็นเรื่องที่ร้อนแรงและถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของพระบัญชา) จึงถือเป็นหน้าที่ ตามระเบียบและกฎหมายที่มหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (โดยผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) จะต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด
โดยจะต้องนำเรื่องนี้เสนอเข้าสู่การพิจาณาของ มหาเถรสมาคม โดยรับสนองงานตามบัญชาและพระกรณียกิจของสมเด็จพระสังฆราช และดำเนินการประสานงานกับคณะสงฆ์ในการลงนิคหกรรมและตรวจตราถวายคำแนะนำแก่พระภิกษุสามเณรที่มีอาจารไม่สมควรแก่สมณวิสัย
ให้กรมการศาสนารับสนองงานของคณะสงฆ์ที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระสังฆราชและทางราชการรวมไปถึงการประสานงาน แนะนำ เสนองานกับคณะสงฆ์เพื่อให้ดำเนินการเสียให้ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย ระเบียบ พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคมโดยเร็วต่อไป
หากปล่อยปละหรือละเลยไม่ถือปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่อาจจะมีส่วนในการถูกพิจารณาความผิดในทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อไปได้
เมื่อความจริงมันปรากฏชัดเจนขนาดนี้ ธมฺมชโย ผิดทั้งกฎหมายอาญาและ พรบ.การปกครองคณะสงฆ์ พร้อมละเมิดพระวินัยอย่างร้ายแรง มีผลเสียเป็นที่ประจักษ์
แล้วพวกกองเชียร์ทั้งหลายจะแถกแถไปข้างไหนอีก
ทีพอพวกตัวเองจะเป็นสังฆราชก็อ้างกฎหมาย
แต่ทีเรื่องความผิด ของอลัชชีชื่อ ธมฺมชโย กลับไม่พูดถึงกฎหมายสักคำ หรือพวกคนสปีชีส์นี้ มันจะเหมือนๆ กันทั้งหมด
จะอ้างกฎหมายเฉพาะเวลาตนได้ประโยชน์เท่านั้น
เอาเป็นว่า พุทธะอิสระไม่ได้มีมุขแค่นี้หรอก เตรียมตัวรับมุขกันให้ดีก็แล้วกัน
พุทธะอิสระ