บทความ
๒๑ มกราคม ๒๕๕๙
หลังจากมีการนำเอาพระวินิจฉัยของเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ตัดสินลงโทษธัมมชโยให้ต้องอาบัติปาราชิกด้วยข้อหายักยอกทรัพย์และอวดอุตริมนุสธรรม ออกมาเผยแพร่และทวงถามความรับผิดชอบต่อมหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ก็มีความพยายามที่จะทำให้พระวินิจฉัยกลายเป็นพระลิขิต จากพระลิขิตก็พยายามทำให้เป็นของปลอม โดยพวกลัทธิธรรมกายและลิ่วล้อพยายามใช้สารพัดวิธี เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าตนถูกใส่ร้าย กลั่นแกล้ง อิจฉา ฝ่ายตรงข้ามกับพวกตนพยายามสร้างหลักฐานเท็จเพื่อเล่นงานทำลายล้างธรรมกาย
ทั้งที่ผู้ตรวจการแผ่นดินวินิจฉัยยืนยันว่าพระวินิจฉัยทั้ง ๕ ฉบับ เป็นทั้งพระบัญชาและพระวินิจฉัยมิใช่พระลิขิต และเป็นของจริงหาได้ปลอมอย่างที่พวกธรรมกายพยายามกล่าวอ้างไม่
แม้แต่ DSI ก็ยังมีมติยืนยันว่า มหาเถร สำนักพุทธ จักต้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามพระบัญชาและพระวินิจฉัยนั้น
โดยมีหนังสือแจ้งเตือนมหาเถรและหน่วยงานที่รับผิดชอบ เร่งให้ดำเนินการกับธัมมชโยให้เป็นไปตามพระบัญชาของเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
แต่พวกธรรมกายกลับพยายามจะแถกแถไปว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับธัมมชโยเจ้าลัทธิของเขา มันเป็นเรื่องของมหานิกาย ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับธรรมยุต
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระฝ่ายธรรมยุต จึงมิสมควรเข้ามาก้าวกายกับการปกครองสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย
อยากจะบอกว่า ก็เพราะมหาเถรโดยสมเด็จเกี่ยวแห่งวัดสระเกศ สมเด็จช่วงแห่งวัดปากน้ำ และธรรมกายคิดแบบนี้ยังไงล่ะ
พุทธะอิสระจึงต้องจัดหนักให้สมเด็จช่วง และกรรมการมหาเถรที่เป็นทั้งมหานิกายและธรรมยุตบางคน ที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม พรบ.อาญา ๑๕๗ และ ๑๑๒
ทีอีตอนไปรับเงินธรรมกาย ไม่เห็นแยกธรรมยุต แยกมหานิกาย ว่าไม่เกี่ยวกัน
แต่พอเจอข้อหาปาราชิก จะมาอ้างว่าธรรมยุตไม่เกี่ยวกับมหานิกาย
ขอถามหน่อยว่า มีพระธรรมวินัยเล่มไหนแยกการปกครองสงฆ์ว่า ข้อนี้เป็นของมหานิกาย ข้อนี้เป็นของธรรมยุต หรือเป็นพระไตรปิฎกของธรรมกายเขียนขึ้นเอง
แล้วมีกฎหมาย พรบ.สงฆ์ มาตราไหนที่เขียนว่า พระสังฆราชหากเป็นธรรมยุต จะบัญชาการคณะสงฆ์มหานิกายไม่ได้
ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก แปลว่า ผู้นำของหมู่สงฆ์กลุ่มใหญ่ทั้งหมด หรือพระมหาเถระผู้เป็นใหญ่สูงสุดในสังฆมณฑล
อีกทั้งประเทศไทย องค์พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชพระองค์เดียว ซึ่งบัญชาการคณะสงฆ์ทั้งสังฆมณฑล
โดยมี พรบ.สงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ บัญญัติไว้ในมาตรา ๘ ว่า
สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปรินายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกฎหมาย พระธรรมวินัยและกฎหมายมหาเถรสมาคมทรงบัญชาการคณะสงฆ์โดยสังฆามติ
มาตรา ๙ สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคม
ด้วยข้อบัญญัติของกฎหมายทั้ง ๒ มาตรานี้
สมเด็จพระสังฆราชในฐานะสกลมหาสังฆปรินายกทรงบัญชาการคณะสงฆ์ได้โดยลำพังพระองค์และในฐานะประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ย่อมมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารคณะสงฆ์และกิจการพระศาสนาทั้งหมด
อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ถือเป็นอำนาจหน้าที่ในการบริหารการปกครองคณะสงฆ์ร่วมกับมหาเถรสมาคม โดยมิได้มีการแบ่งแยกว่า เป็นธรรมยุตหรือมหานิกาย
ทรงสามารถออกกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบ หรือออกคำสั่งเพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์ เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ต้องไม่ขัดกับหลักพระธรรมวินัยและกฎหมาย
อีกทั้งมาตรา ๑๘ มหาเถรสมาคมถือเป็นสถาบันบริหารคณะสงฆ์ส่วนกลาง โดยมีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธาน
จึงไม่มีเหตุผลใดที่สมเด็จพระสังฆราชจะทรงมีพระบัญชาการวินิจฉัยภิกษุรูปใดหรือนิกายใดไม่ได้ หากพระบัญชา พระวินิจฉัยนั้นเป็นไปตามหลักธรรมวินัยและกฎหมาย
การที่พวกธรรมกายจะพยายามแถกแถไปว่า
ในพระวินัยไม่มีใครมีอำนาจสั่งให้พระภิกษุรูปใดสึกได้
อยากบอกพวกคุณโจรทั้งหลายว่า ที่โวยวายออกมานั้นถือว่าเป็นสิทธิของผู้ต้องหา ศาลสถิตยุติธรรมพร้อมจะรับฟังแล้วเปิดโอกาสให้ทนายจำเลยนำพยานฝ่ายจำเลยและฝ่ายโจทก์มาให้การแก้ต่างกันในชั้นศาล
แต่ ๑๗ ปี ของคดีธัมมชโยยักยอกทรัพย์และอวดอุตริมนุสธรรมจนต้องอาบัติปาราชิกทั้งสองคดีตามหลักฐานทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ และองค์พระสังฆราชผู้เป็นโจทก์ ล้วนครบถ้วนสมบูรณ์
แต่ฝ่ายจำเลยไม่เคยขึ้นมาให้การในชั้นศาล ไม่เคยส่งพยานมาให้การ มีแต่ส่งเงินและบริวารมาเห่าหอนอยู่นอกศาล
หากฉันเป็นศาลก็ต้องถามว่า
จริงไหมที่ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เป็นเจ้าพนักงานแล้วยักยอกทรัพย์ ๙๕๙,๓๐๐,๐๐๐ บาท
จริงหรือไม่ที่ธัมมชโยกล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่มีในตนเป็นอาจิณ เพื่อให้คนหลงเชื่อว่าตนเป็นผู้วิเศษ เพื่อมุ่งหวังลาภสักการะ
จริงหรือไม่ที่สำนักธรรมกายทั้งเจ้าลัทธิและบริวารจาบจ้วงดูหมิ่นพระไตรปิฎกว่าบกพร่อง
จริงหรือไม่ที่ลัทธิธรรมกายพยายามขยายอิทธิพลครอบงำศาสนจักรและอาณาจักรเพื่อสร้างอำนาจให้แก่ตัวเอง
จริงหรือไม่ที่วัดพระธรรมกายมีส่วนเข้าไปพัวพันการยักยอกเงินฝากออมทรัพย์ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
จริงหรือไม่ที่ธัมมชโยและบริวาร ถูกพนักงานสอบสวน DSI แจ้งข้อกล่าวหาในคดีร่วมกันยักยอกทรัพย์ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
และจริงหรือไม่ที่กรรมการมหาเถรสมาคม ไม่เคยเรียกนายธัมมชโยไปสอบเรื่องยักยอกเงินฝากของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนเลย
จริงหรือไม่ที่ลัทธิธรรมกายออกเดินเรี่ยรายไปทั่วประเทศมาเป็นสิบปี ทั้งที่ผิดกฎหมาย แต่มหาเถรสำนักพุทธก็ทำเป็นมองไม่เห็น
จริงหรือไม่ที่สำนักธรรมกายให้เงินไปหลายร้อยล้านแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ เพื่อเคลียร์คดีของตน
ไม่ว่าคำถามเหล่านี้ ใครจะเป็นผู้ตอบ
เอาเป็นว่าใครจะตอบหรือไม่ก็ช่าง
แต่ที่แน่ๆ เมื่อครบหนึ่งเดือนตามที่คุณสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า ขอเวลา ๑ เดือน กับการจัดการกับปัญหาคดีรถหรูและคดีธรรมกาย
เมื่อครบ ๑ เดือนแล้ว หากคดีธรรมกายและรถหรูสมเด็จช่วงยังไม่มีความคืบหน้าตามที่ DSI ได้ส่งเอกสารยืนยันพระวินิจฉัยของสมเด็จพระสังฆราชว่ามีมูล
หน่วยงานของรัฐและผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักพุทธ มหาเถร จะต้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามพระวินิจฉัยนั้น หากไม่ทำอะไร ยังทำตีเนียนเตะถ่วงหน่วงเหนี่ยว
พุทธะอิสระคงต้องไปอาศัยบารมี ป.ป.ช. ให้จัดการตามอาญามาตรา ๑๕๗ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ ต่อบุคคลและหน่วยงานที่ละเลย ละเว้น
อันนี้สิของจริงแท้ๆ และถูกกฎหมายสอดคล้องกับหลักธรรมวินัยด้วยนะจ๊ะ
พุทธะอิสระ