บทความ
นักข่าวชาแนล นิวส์ เอเชีย มาขอสัมภาษณ์ที่วัด
วันอังคารที่ ๑๙ ม.ค. ๕๙
เวลาบ่าย ๓ โมง นักข่าวชาแนล นิวส์ เอเชีย มาขอสัมภาษณ์ที่วัด
เขาถามถึงเหตุการณ์คัดค้านสมเด็จช่วงขึ้นเป็นสังฆราช
ถามถึงเรื่องวิกฤติศรัทธาที่ชาวพุทธมีต่อวงการคณะสงฆ์
ถามถึงเรื่องการปฏิรูปวงการคณะสงฆ์
ถามถึงความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะจัดการกับธรรมกาย
และถามถึงสิ่งที่ฉันได้จากการออกมาสู้รบตลอดเวลา ๒ ปีเศษที่ผ่านมา
ฉันตอบทุกคำถาม ซึ่งก็เป็นคำตอบที่ทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะคำถามที่ว่าฉันได้อะไรจากการสู้ครั้งนี้
ตอบว่าสิ่งที่ฉันได้คือ ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีกบฏ ได้คำขู่ อาฆาต ก่นด่า เหยียดหยาม ดูถูก และความเกลียดชังสาปแช่ง
แต่สิ่งที่สังคมได้คือ ความจริงที่สังคมไม่เคยรับรู้ ได้รับรู้ สังคมเริ่มแยกแยะว่าสิ่งถูกต้องชอบธรรมกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมมีความแตกต่างกันอย่างไร
ทำให้สังคมหันมาให้ความสนใจ ใส่ใจต่อปัญหาที่เกิดในพุทธศาสนากันมากขึ้น และพร้อมที่จะปกป้องสิ่งที่ถูกต้องกันเยอะขึ้น
สังคมพุทธบริษัทไทยเริ่มที่จะตื่นรู้ถึงพิษภัยของผู้ที่เข้ามาอาศัยพระธรรมวินัยหากิน
ผู้คนในสังคมโดยเฉพาะลัทธิธรรมกายเริ่มที่จะรวมตัวกันต่อต้านสิ่งเลวร้ายและความไม่ถูกต้องกันมากขึ้น
แม้วันนี้การปฏิรูปคณะสงฆ์และกิจการพระพุทธศาสนายังอยู่ไกลเกินเอื้อม เพราะความมักมาก อยากได้ มันได้เข้ามาฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของนักบวชไทยเกือบจะทุกคน
มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่พึงประสงค์ ถูกตรงต่อพระธรรมวินัย
เพราะสังคมไทยไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเหล่านี้
สังคมไทยยังคิดผิด เห็นผิดว่า พระที่ดีต้องมีลาภสักการะ ยศถาบรรดาศักดิ์ ชีวิตความเป็นอยู่หรูหรา จึงจักเป็นที่ยอมรับของสังคม
อีกทั้งพวกมักมากอยากได้ก็มีเครือข่ายขยายไปทุกอณูของสังคม จึงเป็นการยากมากที่จะฟื้นฟูวิถีชีวิตของสมณะวิสัยผู้สะอาด ฉลาด สว่าง สงบ และสมถะ สันโดษ ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้
แค่ฉันพูดแค่นี้ พวกที่นิยมความมักมากอยากได้ก็จะออกมาตำหนิฉันว่าเป็นพวกสุดโต่ง หัวโบราณ ไม่เข้ากับยุคสมัยนิยม
เหล่านี้คือเหตุผลที่ฉันว่ามันยากและยากมากๆ
ยิ่งถ้ารัฐบาลมองไม่เห็นปัญหาและความสำคัญของวงการคณะสงฆ์ ที่เป็นแหล่งหมักหมมของเชื้อโรคร้ายทางจิตวิญญาณไปเสียแล้ว
มันก็ยิ่งยากที่จะผลักดันให้เกิดการปฏิรูปคณะสงฆ์
อาจเป็นเพราะรัฐบาลเกรงใจหรือไม่ก็กลัวว่าหากจะมายุ่งวุ่นวายกับคณะสงฆ์ จะกลายเป็นบาปกรรมหรือสร้างเงื่อนงำของปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก
เพราะทุกวันนี้รัฐบาลก็มีปัญหามากอยู่แล้ว เลยไม่อยากยุ่ง
แต่ถ้ารัฐบาลมีสติปัญญาตามวิถีพุทธ รัฐบาลก็จะรู้ว่าปัญหาของบ้านเมืองล้วนเกิดมาจากเหตุของคนในบ้านเมืองนี้อ่อนแอทางคุณธรรม ขาดจิตสำนึกสาธารณะ เห็นแก่ตัว ไม่ละอาย ไร้ความสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและตนเอง ไม่มีความกตัญญูต่อแผ่นดินเกิด ไม่รู้จักหน้าที่
ปัญหาทั้งหมดนี้ต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายศาสนจักรที่จะปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม และสำนึกหน้าที่ให้แก่ผู้คนในสังคม
แต่ที่สังคมไทยมันเลวร้ายตกต่ำในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ก็เพราะฝ่ายศาสนจักรมัวแต่มาหลุมหลงมัวเมาอยู่กับลาภยศสรรค์เสริญกลายเป็นผู้ติดโรค เป็นโรค และตัวแพร่เชื้อโรค มักมาก อยากได้ ตะกละทะยานอยาก โดยอ้างบุญอ้างสวรรค์ อ้างความดี มาหลอกล่อผู้คน จนหลงผิดเข้าใจผิด คิดว่าวิถีนี้เป็นหลักการของพระศาสนา
ฉะนั้นต้นตอของปัญหาในสังคมล้วนแต่เกิดมาจากศาสนจักรที่ละเลยต่อหน้าที่ทั้งนั้น
ถ้ารัฐบาลรู้ถึงปัญหานี้ก็จะสามารถปฏิรูปวงการคณะสงฆ์ได้
พวกรัฐบาลเขาจะรู้หรือไม่ว่านักบวชในศาสนจักรนี้ล้วนมีอิทธิพลทางความเชื่อ ความคิด และการกระทำของผู้คนในสังคมนี้อย่างมากมาย
หากผู้ทรงอิทธิพลทางจิตวิญญาณเหล่านี้เป็นผู้ซื่อตรงต่อคำสั่งสอนของพระศาสดาของตน
นั่นก็เท่ากับผู้ทรงอิทธิพลทางจิตวิญญาณหรือนักบวชเหล่านั้น กำลังช่วยรักษาโรคทางจิตวิญญาณ
หากผู้รักษาโรคใจกลายเป็นโรคเสียเอง สังคมจะมุ่งหวังพึ่งพาอาศัยใครได้
สังคมไทยจึงอ่อนแอและติดโรคมาถึงทุกวันนี้
ทั้งหมดนี้ศาสนจักรต้องมีส่วนรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำถามสุดท้ายนักข่าวถามฉันว่า เมื่อปัญหามันหนักหนาสาหัสขนาดนี้ หลวงปู่ยังจะสู้อีกต่อไปไหม
ฉันมองหน้านักข่าวแล้วยิ้มพร้อมกล่าวว่า ฉันเกิดมาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ได้เกิดมาหนีปัญหา
หากยังมีลมหายใจ เมื่อเจอปัญหา ฉันจะไม่หนีหน้าหายไปไหน
ฉันจะสู้กับทุกปัญหาจนลมหายใจสุดท้าย
พุทธะอิสระ