มนุษย์เอ๋ย….อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๗
*****************
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ อรรถกถา มิตตวินทุกชาดก เรื่อง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุว่ายากรูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้
ในอดีตกาล ครั้งศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าในเมืองพาราณสี เศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิมีบุตรคนหนึ่ง ชื่อมิตตวินทุกะ มารดาบิดาของมิตตวินทุกะ เป็นพระโสดาบัน. แต่มิตตวินทุกะเป็นคนทุศีลไม่มีศรัทธา
เมื่อบิดาตายแล้วมารดาตรวจตราดูแลทรัพย์สมบัติ วันหนึ่งกล่าวกะเขาว่า ลูกรัก ความเป็นมนุษย์เป็นของที่ได้ยาก เจ้าก็ได้แล้วเจ้าจงให้ทานรักษาศีล กระทำอุโบสถกรรม ฟังธรรมเถิด
มิตตวินทุกะกล่าวว่า แม่ ทาน ไม่เป็นประโยชน์แก่ฉัน แม่อย่าได้กล่าวอะไร ๆ กะฉัน ฉันจะไปตามยถากรรม ถึงแม้เขาจะกล่าวอยู่อย่างนี้
วันหนึ่งเป็นวันบูรณมีอุโบสถ มารดาได้กล่าวกะเขาว่า ลูกรักวันนี้เป็นวันอภิลักขิตสมัยมหาอุโบสถ วันนี้เจ้าจงสมาทานอุโบสถ ไปวิหารฟังธรรมอยู่ตลอดคืนแล้วจงมา แม่จะให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่เจ้า
เขารับคำของมารดาแล้ว ครั้นบริโภคอาหารเช้าแล้ว จึงไปวิหารอยู่ที่วิหารตลอดวัน แล้วนอนหลับอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งตลอดคืน โดยที่ธรรมแม้บทหนึ่ง ก็ไม่กระทบหู วันรุ่งขึ้นเขาล้างหน้าไปนั่งรอที่เรือนแต่เช้าทีเดียว.
ฝ่ายมารดาของเขาคิดว่า วันนี้ลูกของเราฟังธรรมแล้ว จักพาพระเถระผู้ธรรมกถึกมาแต่เช้าทีเดียว จึงตบแต่งข้าวยาคูเป็นต้น แล้วปูลาดอาสนะไว้คอยท่าอยู่ ครั้นเห็นเขามาคนเดียว จึงถามว่า ลูกรักเจ้าไม่ได้นำพระธรรมกถึกมาหรือ
เขากล่าวว่า ฉันไม่ต้องการพระธรรมกถึก
ถ้าเช่นนั้นลูกจงดื่มข้าวยาคูเถิด
แม่รับว่าจะให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่ฉัน แม่จงให้ทรัพย์แก่ฉันก่อน ฉันจักดื่มภายหลัง
ดื่มเถิดลูกรัก แล้วแม่จักให้ทีหลัง
ฉันต้องได้รับทรัพย์ก่อนจึงจะดื่ม
ลำดับนั้น มารดาได้เอาห่อทรัพย์พันหนึ่งวางไว้ต่อหน้าเขา เขาดื่มข้าวยาคูแล้วถือเอาห่อทรัพย์พันหนึ่งไปทำการค้า ในไม่ช้านักก็เกิดทรัพย์ขึ้นถึงแสนสองหมื่น.
เขาคิดว่า เราจักต่อเรือทำการค้าขาย ครั้นเขาต่อเรือแล้วได้กล่าวกะมารดาว่า แม่ ฉันจักทำการค้าขายทางเรือ
ครั้งนั้น มารดาได้ห้ามเขาว่า ลูกรัก เจ้าเป็นลูกคนเดียวของแม่ แม้ในเรือนนี้ก็มีทรัพย์อยู่มาก ทะเลมีโทษไม่น้อยเจ้าอย่าไปเลย
ฉันจักไปให้ได้ แม่ไม่มีอำนาจที่จะห้ามฉัน
มารดากล่าวว่า ลูกรัก แม่ต้องห้ามเจ้า แล้วจับมือเอาไว้
เขาสลัดมือและผลักมารดาให้ล้มลง แล้วเดินข้ามไป จากนั้นก็ลงเรือแล่นไปในทะเล.
ครั้นถึงวันที่ ๗ เรือได้หยุดนิ่งอยู่บนหลังน้ำกลางทะเล เพราะมิตตวินทุกะเป็นเหตุ คนในเรือปรึกษากันว่า เรือไม่อาจแล่นไปได้ เห็นทีจักมีกาลกัณณีบนเรือนี้เป็นแน่ พวกเราควรให้ทุกคนจับสลากดูว่าใครกันที่เป็นกาลกัณณี สลากกาลกัณณีที่แจกไปได้ตกในมือของ มิตตวินทุกะคนเดียวถึงสามครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนมีความเห็นร่วมกันว่า คนเป็นจำนวนมากอย่ามาพินาศเสีย เพราะอาศัยนายมิตตวินทุกะนี้คนดีเลย จึงผูกแพให้เขาแล้วโยนเขาลงทะเล
ทันใดนั้นเรือได้แล่นไปในมหาสมุทรโดยเร็ว มิตตวินทุกะนอนไปในแพลอยไปถึงเกาะน้อยแห่งหนึ่ง บนเกาะน้อยนั้นเขาได้พบนางชนี คือนางเวมานิกเปรต ๔ นาง อยู่ในวิมานแก้วผลึก นางเปรตเหล่านั้นเสวยทุกข์ ๗ วัน เสวยสุข ๗ วัน มิตตวินทุกะได้เสวยทิพยสมบัติอยู่กับนางเปรตเหล่านั้น ๗ วันในวาระสุข
ครั้นถึงวาระที่จะเปลี่ยนไปทนทุกข์ นางทั้ง ๔ ได้สั่งว่า นาย พวกฉันจักมาในวันที่ ๗ ท่านอย่ากระสันไปเลย จงอยู่ในที่นี้จนกว่าพวกฉันจะมา ดังนี้แล้วพากันไป
มิตตวินทุกะเป็นคนตกอยู่ในอำนาจของตัณหา ลงนอนบนแพนั้นลอยไปตามพื้นสมุทรอีก ถึงเกาะน้อยอีกแห่งหนึ่ง ได้พบนางเปรต ๘ นาง ในวิมานเงินบนเกาะนั้นได้พบนางเปรต ๑๖ นาง ในวิมานแก้วมณีบนเกาะอีกแห่งหนึ่ง ได้พบนางเปรต ๓๒ นาง ในวิมานทองบนเกาะอีกแห่งหนึ่ง โดยอุบายนี้แหละได้เสวยทิพยสมบัติอยู่กับนางเปรตเหล่านั้นทุก ๆ เกาะ ดังกล่าวแล้ว
เมื่อถึงเวลาที่นางเปรตแม้เหล่านั้นไปทนทุกข์ ได้นอนบนหลังแพลอยไปตามห้วงสมุทรอีก ได้พบเมือง ๆ หนึ่งมีกำแพงล้อมรอบ มีประตู ๔ ด้าน ได้ยินว่า ที่นี่เป็นอุสสทนรกเป็นที่เสวยกรรมกรณ์ของเหล่าสัตว์นรกเป็นจำนวนมาก แต่ได้ปรากฏแก่มิตตวินทุกะเหมือนเป็นเมืองที่ประดับตบแต่งไว้ เขาคิดว่า เราจักเข้าไปเป็นพระราชาในเมืองนี้ แล้วเข้าไปได้เห็นสัตว์นรกตนหนึ่ง ทูนจักรกรดหมุนเผาผลาญอยู่บนศีรษะ ขณะนั้นจักรกรดบนศีรษะสัตว์นรกนั้น ได้ปรากฏแก่มิตตวินทุกะเป็นเหมือนดอกบัว เครื่องจองจำ ๕ ประการที่อก ปรากฏเหมือนเป็นสังวาลย์เครื่องประดับทรวง โลหิตที่ไหลจากศีรษะเหมือนเป็นจันทน์แดงที่ชะโลมทา เสียงครวญครางเหมือนเป็นเสียงเพลงขับที่ไพเราะ
มิตตวินทุกะเข้าไปใกล้สัตว์นรกนั้น แล้วกล่าวขอว่า ข้าแต่บุรุษผู้เจริญ ท่านได้ทัดทรงดอกบัวมานานแล้ว จงให้แก่ข้าพเจ้าเถิด
สัตว์นรกกล่าวว่าแน่ะสหาย นี้ไม่ใช่ดอกบัวมันคือจักรกรด
มิตตวินทุกะกล่าวว่า ท่านพูดอย่างนี้เพราะไม่อยากจะให้แก่เรา
สัตว์นรกคิดว่า บาปของเราคงสิ้นแล้ว แม้บุรุษผู้นี้ก็คงจะทุบตีมารดามาแล้วเหมือนเรา เราจักให้จักรกรดแก่มัน ครานั้นสัตว์นรกได้กล่าวกะมิตตวินทุกะว่า มาเถิดท่านผู้เจริญ ท่านจงรับดอกบัวนี้เถิด แล้วขว้างจักรกรดไปบนศีรษะของมิตตวินทุกะ จักรกรดได้ตกลงพัดผันบนศีรษะเขา
ขณะนั้นมิตตวินทุกะจึงรู้ว่าดอกบัวนั้นคือจักรกรด ได้รับทุกขเวทนาเป็นกำลัง คร่ำครวญว่าท่านจงเอาจักรกรดของท่านไปเถิด ๆ สัตว์นรกตนนั้นได้หายไปแล้ว.
คราวนั้น รุกขเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ท่านหนึ่ง พร้อมด้วยบริวารใหญ่เที่ยวจาริกไปในอุสสทนรกได้ไปถึงที่นั้น มิตตวินทุกะแลเห็นรุกขเทวดา จึงถามว่า ข้าแต่ท่านเทวดา เมืองนี้มีประตู ๔ ประตู มีกำแพงมั่นคง ล้วนแล้วไปด้วยเหล็กแดง ข้าพเจ้าถูกล้อมไว้ด้วยกำแพง ข้าพเจ้าได้ทำบาปอะไรไว้. ประตูทั้งหมดจึงปิดแน่น ข้าพเจ้าถูกขังเหมือนนก ข้าแต่เทวดา นี่เป็นเพราะเหตุใด ข้าพเจ้าจึงถูกจักรกรดพัดศีรษะ ?
เทวราชเมื่อจะบอกเหตุแก่เขา จึงกล่าวว่า ท่านได้ทรัพย์มากมายแสนสองหมื่นแล้วยังไม่เชื่อคำของญาติผู้เอ็นดู.
ท่านแล่นเรือไปสู่สมุทรอันอาจทำให้ เรือโลดขึ้นได้ เป็นสาครที่มีสิทธิ์น้อย ได้ประสบนางเวมานิกเปรต ๔ นาง จาก ๔ นางเป็น ๘ นาง จาก ๘ นาง เป็น ๑๖ นางถึงจะได้ประสบนางเวมานิกเปรตจาก ๑๖ นาง เป็น ๓๒ นาง ก็ยังปรารถนายิ่งไปกว่านั้นจึงได้ประสบจักรนี้ จักรกรดย่อมพัดผันบนศีรษะของคนผู้ถูกความอยากครอบงำ.
ความอยากเป็นของสูงใหญ่ไพศาล ยากที่จะให้เต็มได้ มักให้ถึงความวิบัติ ชนเหล่าใดย่อมยินดีไปตามความอยาก ชนเหล่านั้นย่อมเป็นผู้ทรงจักรกรดไว้.
ชนเหล่าใดละสิ่งของที่มีมากเสียด้วยไม่พิจารณาหนทางด้วย แล้วไม่คิดอ่านเหตุการณ์นั้นให้ถ่องแท้ ชนเหล่านั้นย่อมเป็นผู้ทรงจักรกรดไว้.
ผู้ใดพึงเพ่งพินิจถึงการงานและโภคะอันไพบูลย์ ไม่ซ่องเสพความอยากอันประกอบด้วยความฉิบหาย ทำตามถ้อยคำของผู้เอ็นดูทั้งหลาย ผู้เช่นนั้น จะไม่ถูกจักรกรดพัดผัน.
มิตตวินทุกะได้ฟังดังนั้นแล้ว คิดว่า เทวบุตรนี้รู้กรรมที่เราทำไว้โดยถ่องแท้ เทวบุตรนี้คงจะรู้กำหนดกาลที่เราจะหมกไหม้อยู่ เราจะถามท่านดู จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้น่าบูชา จักรกรดจักตั้งอยู่ บนศีรษะของข้าพเจ้านานสักเท่าไรหนอ จะสักกี่พันปี ข้าพเจ้าขอถามความนั้น ขอท่านได้ โปรดบอกแก่ข้าพเจ้าเถิด
เทวดากล่าวว่า ดูก่อนมิตตวินทุกะ ท่านจงฟังเรา ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกนาน จักรกรดจะพัดผันอยู่บนศีรษะของท่าน เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่จะพ้นไปไม่ได้.
ครั้นเทวบุตรกล่าวดังนี้แล้ว ก็ได้ไปเทพวิมานของตน ส่วนมิตตวินทุกะ ก็ได้ดำเนินไปสู่ทุกข์ใหญ่อีกยาวนาน
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
นายมิตตวินทุกะในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุว่ายาก
ส่วนเทพบุตรในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
*****************
คนบางคนมีบุญเก่า มีรูปเป็นสมบัติ ได้เกิดมาเป็นศิษย์ครูบาอาจารย์ที่ดี คอยอบรมพร่ำสอนให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ในคุณธรรม พอเติบโตขึ้นก็ใช้สมบัติที่ได้มาจากบุญกุศลเก่าทำมาหากิน
แต่พอได้รับความไว้วางใจจากครูบาอาจารย์ก็กบฏทรยศต่อครูบาอาจารย์ กับใช้ความไว้วางใจที่ครูบาอาจารย์มอบให้มาหลอกกินหัวคิวจากงานที่ครูบาอาจารย์มอบให้ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ครูบาอาจารย์หามาให้แก่วัดตกเป็นสมบัติของพระศาสนา ด้วยความยากลำบาก แต่คนผู้นี้ก็ยังใจกล้าหน้าด้านรวมหัวกับหญิงใจบาป ใช้สันดานบาปมาทำชั่ว จนวัดต้องเสียเงินกินเปล่าไปหลายพันบาท
นี่มันพวกเปรตตะกละ ที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัวชัดๆ
ที่เรียกร้องให้นำเงินมาคืนก็เพราะหวังดีดอก ด้วยเพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ที่กินหัวคิวไป ล้วนเป็นไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญพวกมันไปไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ
เห็นแก่เคยเป็นศิษย์จึงบอกให้นำเงินมาคืน แต่ถ้ายังหน้าด้าน ใจด้าน คิดว่าตนเองทำถูกต้อง ทั้งด้านกฎหมายและชอบด้วยธรรม เช่นนั้นก็จงรับผลของกรรมชั่วไปเถิด
เวรกรรม เวรกรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–
อ่านย้อนหลัง : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid0zqDFRc2aRxCjuvzSj9kkGqNH3apYGLaqikzxGnw2Hdvcu5ngBNDyhKqqpL1ztLYEl